ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้วิ่งขึ้นเทือกเขาหิมาลัย !

ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้วิ่งขึ้นเทือกเขาหิมาลัย !

6 ต.ค. 2566

SHARE WITH:

6 ต.ค. 2566

6 ต.ค. 2566

SHARE WITH:

SHARE WITH:

ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้วิ่งขึ้นเทือกเขาหิมาลัย !

ใช่แล้วทุกคนเข้าใจไม่ผิด เราไปวิ่งขึ้นเทือกเขาหิมาลัยจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเป็นการวิ่งที่ใช้การเดินหรือการ Hiking เป็นส่วนใหญ่ และใช้เวลาเพียงแค่ 1 วัน

หลายคนน่าจะรู้จักกับเส้นทางเดินป่าที่ชื่อว่า Mardi Himal เขต Annapurna region ในประเทศเนปาล ซึ่งเป็นเส้นทางเดินป่าที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากใช้เวลาในการเดินไม่นาน และมีจุดแวะพักต่างๆ หรือทีเฮาส์ (Tea House) ซึ่งเป็นบ้านพักที่อยู่ระหว่างทาง โดยไฮไลต์ของเส้นทางเดินป่านี้ ก็คือภูเขาที่เป็นรูปหางปลา ที่มีชื่อเรียกว่า Machapuchare ซึ่งโดยปกตินักเดินป่าที่ไปทริปก็จะใช้เวลาในการเดินขึ้นเขาประมาณ 4-5 วัน


ย้อนกลับไปในปี 2019 เราไปสมัครงานวิ่งเทรลงานหนึ่งที่จัดขึ้นในประเทศเนปาล งานนี้มีชื่อว่า Annapurna100 ซึ่งในปีนั้นได้เป็นงาน Final ของซีรีส์งานวิ่งเทรลระดับโลกที่ชื่อว่า Golden Trail Series ซึ่งจะจัดการแข่งขันวิ่งเทรลในหลายประเทศ เพื่อเก็บคะแนน แล้วผู้ที่ชนะแต่ละสนามก็จะมาแข่งกันเพื่อหาแชมป์ของงาน และงานสุดท้ายของซีรี่ส์นี้ในปี 2019 ก็คืองาน Annapurna100 นี้นั่นเอง

งานนี้เป็นงานที่น่าตื่นเต้นมากๆ สำหรับนักวิ่งเทรลเพราะว่าเราจะได้เจอนักกีฬาที่มาจากหลายๆ ประเทศ และเป็นตัวทอประดับโลกของสายเทรลมารวมตัวกัน จนทำให้ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรดีระหว่างได้เจอนักกีฬาในดวงใจที่เราติดตามมานาน กับการได้วิ่งในงานที่วิวสวยแบบอลังการสุดๆ และเส้นทางความยากก็คือเรียกได้ว่าโหดเลยแหละ โดยระยะที่เราสมัครคือ 55km. Elevation gain +3484 m.


ก่อนจะถึงวันแข่งเรามีโอกาสได้ไปยืนเชียร์นักกีฬาที่แข่งในวันก่อนหน้า ซึ่งก็ช่วยปลุกใจได้มากๆ คือรู้สึกเติมเต็มมากๆ แล้วที่มางานนี้ จนเกือบลืมไปว่าตัวเองก็ลงวิ่งเหมือนกัน

ตัดมาในวันที่เราแข่ง เราเริ่มวิ่งกันตั้งแต่เช้ามืด โดยช่วงเส้นทางวิ่งช่วง 15 กิโลเมตรแรก ยังเป็นเส้นทางที่วิ่งจากหมู่บ้านเพื่อเริ่มขึ้นเขา ยังไม่ถึงกับยากมาก แต่ด้วยความสูงของพื้นที่ที่เราวิ่งก็ทำให้เหนื่อยง่ายขึ้น

ต้องบอกก่อนว่าเส้นทางนี้ถ้าคนที่มีปัญหาเรื่องแพ้ความสูง (Altitude Sickness) ก็อาจจะไม่สามารถวิ่งได้ ต้องประเมินร่างกายตัวเองก่อนที่จะสมัครเพราะว่าเราต้องวิ่งในเส้นทางที่มีความสูงแตกต่างจากประเทศไทยมากๆ อย่างบ้านเราความสูงของดอยที่สูงที่สุด ก็คือดอยอินทนนท์จะอยู่ที่ประมาณ 2,000 เมตร แต่ว่าเส้นทางแข่งขันที่เราไป ยอดสูงสุดที่เราจะขึ้นไปจะอยู่ที่ประมาณเกือบ 4,000 เมตร

ดังนั้นหากใครที่แพ้ความสูงก็ไม่ควรที่จะฝืนร่างกายตัวเอง เพราะโดยปกติแล้วควรที่จะค่อยๆ เพิ่มระดับความสูงในการเดินต่อวัน เหมือนกับเวลาที่ไปทริปที่จะมีการให้แวะพักตามจุดต่างๆ เพื่อปรับร่างกายก่อน ส่วนเราได้ไปเดินขึ้นเขาก่อนวันแข่งอยู่หลายวัน ก็ได้ทดสอบตัวเองแล้วว่าไม่น่าจะมีอาการแพ้ความสูง แต่ก็ต้องคอยสังเกตตัวเองตลอด พยายามไม่เร่งในช่วงที่ขึ้นเขา

ผ่านไปได้เกือบครึ่งทางประมานกิโลเมตรที่ 20 ก็จะเป็นช่วงที่ขึ้นเขายาวๆ ขึ้นไม่มีสิ้นสุด เป็นการขึ้นเขาที่เรารู้สึกว่าเหนื่อยที่สุดในชีวิตนี้แล้วตั้งแต่เคยวิ่งมา เพราะด้วยความชันของภูเขา และอากาศที่หายใจยาก เพราะว่าความสูงเริ่มเพิ่มมากขึ้น และแน่นอนวิวก็สวยมากๆ ขึ้นทุกกิโลเมตรที่เราเดินไปเช่นกัน มันเหมือนกับแบบใจนึงก็เหนื่อยมากไม่อยากจะไปต่อ แต่อีกใจหนึ่งก็แบบ เฮ้ย..นี่เราได้มาวิ่งที่สวยขนาดนี้ยังไงก็ต้องไปต่อให้จบ

ระหว่างทางก็จะมีจุดให้พักมีอาหารและน้ำให้เติม เราก็ค่อยๆ เดินขึ้นมา จากเส้นทางที่เป็นป่ามีต้นไม้ปกคลุม ผ่านหมู่บ้าน ข้ามน้ำ ขึ้นเนินเขาจนผ่านมาเป็นที่โล่งและเห็นวิวแบบ 360 องศา จนถึงจุดที่เป็นยอดสูงสุดของเส้นทางวิ่งนี้ ซึ่งก็คือยอดที่เห็นภูเขารูปหางปลานั่นเอง ความรู้สึกตอนนั้นคือเหนื่อยมากแต่ก็ดีใจมากๆ เป็นแบบความสุขที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เป็นความสุขแบบทรมาน เราก็เริ่มสบายใจแล้วเนื่องจากไม่มีอาการแพ้ความสูงอะไร


หลังจากดื่มด่ำความสุข(แบบนั้น)แล้ว ก็ค่อยๆ ลงเขากลับมาตามเส้นทางวิ่งเพื่อกลับเข้าเส้นชัย โดยช่วงที่เราวิ่งกลับลงมาจากเขาก็เป็นช่วงที่เริ่มจะมืดพอดี จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการวิ่งมากขึ้น บางคนที่ไม่ไหวก็สามารถแวะพักที่แคมป์ต่างๆ ระหว่างทางได้ อย่างเช่นมีเพื่อนในกลุ่มที่ไปด้วยกัน ก็ได้หยุดพักนอนบนเขาหนึ่งคืนก่อนที่จะลงมาอีกครั้งในตอนเช้า

จังหวะที่เข้าเส้นชัยเป็นอะไรที่ดีใจมากๆ และรู้สึกภูมิใจมากๆ ที่ได้มาร่วมงานนี้ เพราะเป็นงานที่ยากงานหนึ่งในชีวิตตั้งแต่ที่เคยวิ่งมาเลย ด้วยความสูงของภูเขาและด้วยสภาพอากาศที่เราอาจจะไม่ได้คุ้นชินตอนอยู่ในประเทศไทย แต่เราก็สามารถทำมันให้สำเร็จได้ รวมถึงการได้มาวิ่งในเส้นทางที่สวยในระดับต้นๆของโลก เหมือนเป็นทริปรวบรัดในการมาเดินเขา Mardi Himal ภายในหนึ่งวัน


งานนี้เราใช้เวลาไปเกือบ 18 ชั่วโมงในการวิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการใช้เวลาที่เยอะมากเหมือนกันเมื่อเทียบกับงานอื่นๆ ที่เราเคยวิ่งมา แต่เราก็ไม่ได้รีบเร่งเพราะความตั้งใจของงานนี้คืออยากจะดูวิวสวยๆ มากกว่า ไม่ได้มีแผนที่จะมาทำเวลาตั้งแต่แรก

การไปวิ่งงานที่ต่างประเทศก็ทำให้เราได้ประสบการณ์แปลกใหม่กลับมา ซึ่งไม่เหมือนการวิ่งที่เมืองไทย ทั้งการวางแผน การเตรียมตัว การเดินทาง และสภาพภูมิประเทศต่างๆ  แถมในเส้นทางวิ่งเรายังได้เห็นวิวสุดอลังการ แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนว่าการทำกิจกรรมประเภทนี้ก็ยังมีความเสี่ยงสูง เพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ดังนั้นหากใครที่สนใจที่จะไปวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นงานนี้หรืองานไหน หากไปในที่ที่เราไม่คุ้นเคย แนะนำให้ศึกษาข้อมูลของงานและเส้นทางการวิ่งให้ดีก่อน เพื่อเป็นการประเมินร่างกายก่อนที่จะลงสมัคร จะได้วิ่งอย่างมีความสุข สนุก และไม่บาดเจ็บ



ใช่แล้วทุกคนเข้าใจไม่ผิด เราไปวิ่งขึ้นเทือกเขาหิมาลัยจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเป็นการวิ่งที่ใช้การเดินหรือการ Hiking เป็นส่วนใหญ่ และใช้เวลาเพียงแค่ 1 วัน

หลายคนน่าจะรู้จักกับเส้นทางเดินป่าที่ชื่อว่า Mardi Himal เขต Annapurna region ในประเทศเนปาล ซึ่งเป็นเส้นทางเดินป่าที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากใช้เวลาในการเดินไม่นาน และมีจุดแวะพักต่างๆ หรือทีเฮาส์ (Tea House) ซึ่งเป็นบ้านพักที่อยู่ระหว่างทาง โดยไฮไลต์ของเส้นทางเดินป่านี้ ก็คือภูเขาที่เป็นรูปหางปลา ที่มีชื่อเรียกว่า Machapuchare ซึ่งโดยปกตินักเดินป่าที่ไปทริปก็จะใช้เวลาในการเดินขึ้นเขาประมาณ 4-5 วัน


ย้อนกลับไปในปี 2019 เราไปสมัครงานวิ่งเทรลงานหนึ่งที่จัดขึ้นในประเทศเนปาล งานนี้มีชื่อว่า Annapurna100 ซึ่งในปีนั้นได้เป็นงาน Final ของซีรีส์งานวิ่งเทรลระดับโลกที่ชื่อว่า Golden Trail Series ซึ่งจะจัดการแข่งขันวิ่งเทรลในหลายประเทศ เพื่อเก็บคะแนน แล้วผู้ที่ชนะแต่ละสนามก็จะมาแข่งกันเพื่อหาแชมป์ของงาน และงานสุดท้ายของซีรี่ส์นี้ในปี 2019 ก็คืองาน Annapurna100 นี้นั่นเอง

งานนี้เป็นงานที่น่าตื่นเต้นมากๆ สำหรับนักวิ่งเทรลเพราะว่าเราจะได้เจอนักกีฬาที่มาจากหลายๆ ประเทศ และเป็นตัวทอประดับโลกของสายเทรลมารวมตัวกัน จนทำให้ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรดีระหว่างได้เจอนักกีฬาในดวงใจที่เราติดตามมานาน กับการได้วิ่งในงานที่วิวสวยแบบอลังการสุดๆ และเส้นทางความยากก็คือเรียกได้ว่าโหดเลยแหละ โดยระยะที่เราสมัครคือ 55km. Elevation gain +3484 m.


ก่อนจะถึงวันแข่งเรามีโอกาสได้ไปยืนเชียร์นักกีฬาที่แข่งในวันก่อนหน้า ซึ่งก็ช่วยปลุกใจได้มากๆ คือรู้สึกเติมเต็มมากๆ แล้วที่มางานนี้ จนเกือบลืมไปว่าตัวเองก็ลงวิ่งเหมือนกัน

ตัดมาในวันที่เราแข่ง เราเริ่มวิ่งกันตั้งแต่เช้ามืด โดยช่วงเส้นทางวิ่งช่วง 15 กิโลเมตรแรก ยังเป็นเส้นทางที่วิ่งจากหมู่บ้านเพื่อเริ่มขึ้นเขา ยังไม่ถึงกับยากมาก แต่ด้วยความสูงของพื้นที่ที่เราวิ่งก็ทำให้เหนื่อยง่ายขึ้น

ต้องบอกก่อนว่าเส้นทางนี้ถ้าคนที่มีปัญหาเรื่องแพ้ความสูง (Altitude Sickness) ก็อาจจะไม่สามารถวิ่งได้ ต้องประเมินร่างกายตัวเองก่อนที่จะสมัครเพราะว่าเราต้องวิ่งในเส้นทางที่มีความสูงแตกต่างจากประเทศไทยมากๆ อย่างบ้านเราความสูงของดอยที่สูงที่สุด ก็คือดอยอินทนนท์จะอยู่ที่ประมาณ 2,000 เมตร แต่ว่าเส้นทางแข่งขันที่เราไป ยอดสูงสุดที่เราจะขึ้นไปจะอยู่ที่ประมาณเกือบ 4,000 เมตร

ดังนั้นหากใครที่แพ้ความสูงก็ไม่ควรที่จะฝืนร่างกายตัวเอง เพราะโดยปกติแล้วควรที่จะค่อยๆ เพิ่มระดับความสูงในการเดินต่อวัน เหมือนกับเวลาที่ไปทริปที่จะมีการให้แวะพักตามจุดต่างๆ เพื่อปรับร่างกายก่อน ส่วนเราได้ไปเดินขึ้นเขาก่อนวันแข่งอยู่หลายวัน ก็ได้ทดสอบตัวเองแล้วว่าไม่น่าจะมีอาการแพ้ความสูง แต่ก็ต้องคอยสังเกตตัวเองตลอด พยายามไม่เร่งในช่วงที่ขึ้นเขา

ผ่านไปได้เกือบครึ่งทางประมานกิโลเมตรที่ 20 ก็จะเป็นช่วงที่ขึ้นเขายาวๆ ขึ้นไม่มีสิ้นสุด เป็นการขึ้นเขาที่เรารู้สึกว่าเหนื่อยที่สุดในชีวิตนี้แล้วตั้งแต่เคยวิ่งมา เพราะด้วยความชันของภูเขา และอากาศที่หายใจยาก เพราะว่าความสูงเริ่มเพิ่มมากขึ้น และแน่นอนวิวก็สวยมากๆ ขึ้นทุกกิโลเมตรที่เราเดินไปเช่นกัน มันเหมือนกับแบบใจนึงก็เหนื่อยมากไม่อยากจะไปต่อ แต่อีกใจหนึ่งก็แบบ เฮ้ย..นี่เราได้มาวิ่งที่สวยขนาดนี้ยังไงก็ต้องไปต่อให้จบ

ระหว่างทางก็จะมีจุดให้พักมีอาหารและน้ำให้เติม เราก็ค่อยๆ เดินขึ้นมา จากเส้นทางที่เป็นป่ามีต้นไม้ปกคลุม ผ่านหมู่บ้าน ข้ามน้ำ ขึ้นเนินเขาจนผ่านมาเป็นที่โล่งและเห็นวิวแบบ 360 องศา จนถึงจุดที่เป็นยอดสูงสุดของเส้นทางวิ่งนี้ ซึ่งก็คือยอดที่เห็นภูเขารูปหางปลานั่นเอง ความรู้สึกตอนนั้นคือเหนื่อยมากแต่ก็ดีใจมากๆ เป็นแบบความสุขที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เป็นความสุขแบบทรมาน เราก็เริ่มสบายใจแล้วเนื่องจากไม่มีอาการแพ้ความสูงอะไร


หลังจากดื่มด่ำความสุข(แบบนั้น)แล้ว ก็ค่อยๆ ลงเขากลับมาตามเส้นทางวิ่งเพื่อกลับเข้าเส้นชัย โดยช่วงที่เราวิ่งกลับลงมาจากเขาก็เป็นช่วงที่เริ่มจะมืดพอดี จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการวิ่งมากขึ้น บางคนที่ไม่ไหวก็สามารถแวะพักที่แคมป์ต่างๆ ระหว่างทางได้ อย่างเช่นมีเพื่อนในกลุ่มที่ไปด้วยกัน ก็ได้หยุดพักนอนบนเขาหนึ่งคืนก่อนที่จะลงมาอีกครั้งในตอนเช้า

จังหวะที่เข้าเส้นชัยเป็นอะไรที่ดีใจมากๆ และรู้สึกภูมิใจมากๆ ที่ได้มาร่วมงานนี้ เพราะเป็นงานที่ยากงานหนึ่งในชีวิตตั้งแต่ที่เคยวิ่งมาเลย ด้วยความสูงของภูเขาและด้วยสภาพอากาศที่เราอาจจะไม่ได้คุ้นชินตอนอยู่ในประเทศไทย แต่เราก็สามารถทำมันให้สำเร็จได้ รวมถึงการได้มาวิ่งในเส้นทางที่สวยในระดับต้นๆของโลก เหมือนเป็นทริปรวบรัดในการมาเดินเขา Mardi Himal ภายในหนึ่งวัน


งานนี้เราใช้เวลาไปเกือบ 18 ชั่วโมงในการวิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการใช้เวลาที่เยอะมากเหมือนกันเมื่อเทียบกับงานอื่นๆ ที่เราเคยวิ่งมา แต่เราก็ไม่ได้รีบเร่งเพราะความตั้งใจของงานนี้คืออยากจะดูวิวสวยๆ มากกว่า ไม่ได้มีแผนที่จะมาทำเวลาตั้งแต่แรก

การไปวิ่งงานที่ต่างประเทศก็ทำให้เราได้ประสบการณ์แปลกใหม่กลับมา ซึ่งไม่เหมือนการวิ่งที่เมืองไทย ทั้งการวางแผน การเตรียมตัว การเดินทาง และสภาพภูมิประเทศต่างๆ  แถมในเส้นทางวิ่งเรายังได้เห็นวิวสุดอลังการ แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนว่าการทำกิจกรรมประเภทนี้ก็ยังมีความเสี่ยงสูง เพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ดังนั้นหากใครที่สนใจที่จะไปวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นงานนี้หรืองานไหน หากไปในที่ที่เราไม่คุ้นเคย แนะนำให้ศึกษาข้อมูลของงานและเส้นทางการวิ่งให้ดีก่อน เพื่อเป็นการประเมินร่างกายก่อนที่จะลงสมัคร จะได้วิ่งอย่างมีความสุข สนุก และไม่บาดเจ็บ



Text:

Suda T.

Suda T.

PHOTO:

Related Posts