Sebastião Salgado : ความงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์

Sebastião Salgado : ความงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์

25 พ.ค. 2568

SHARE WITH:

25 พ.ค. 2568

25 พ.ค. 2568

SHARE WITH:

SHARE WITH:

Sebastião Salgado : ความงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์

"ช่างภาพ คือ ผู้บันทึกประวัติศาสตร์และความทรงจำ"

ภาพขาวดำสวยงามดุจภาพวาด เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์และโทนสีขาว เทา ดำ ที่หนักแน่น

ภาพขาวดำแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ภายใต้ความสวยงามมักเต็มไปด้วยเรื่องราวการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตกับโลกใบใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ตลอดหลายทศวรรษที่ Sebastião Salgado คือหนึ่งในช่างภาพสารคดีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ใช้ภาพถ่ายเป็นหลักฐานและประจักษ์พยานที่ชี้ให้เห็นความงามของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่แฝงไปด้วยความจริงอันโหดร้ายและแสนเปราะบาง

จากอดีตนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ที่อพยพลี้ภัยจากรัฐบาลเผด็จการ ทำให้เขาเริ่มออกเดินทางและค้นพบว่าอาชีพช่างภาพนั้นสามารถเปิดเผยและเล่าเรื่องราวที่ถูกหลบซ่อนจากทั่วทุกมุมโลก โดยนำเรื่องราวนี้มาถ่ายทอดเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้คนและสังคมเพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ภาพถ่ายเหล่านี้จะเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแก่โลกใบนี้ในอนาคต

"ทำไมโลกที่ยากจนถึงน่าเกลียดกว่าโลกที่ร่ำรวย ทั้งที่แสงก็เหมือนกัน ศักดิ์ศรีของคนแต่ละคนก็ต้องเหมือนกัน" [Theguardian.com]

llli ช่างภาพที่มองเห็นตัวเองไม่ต่างจากผู้อพยพ

Sebastião Salgado เกิดในชนบทของ Minas Gerais ประเทศบราซิล และเรียนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซาเปาโล สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทในปี 1968 ขณะที่ทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่กระทรวงการคลัง (1968–69) Salgado เข้าร่วมขบวนการต่อต้านรัฐบาลทหารของบราซิล เนื่องจากถูกมองว่าเป็นพวกหัวรุนแรงทางการเมือง ทำให้ในช่วงปี 1969 เขาและภรรยาหนีไปฝรั่งเศส ซึ่งเขาเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยปารีส และทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ

หลังจากอพยพไปอยู่ที่ฝรั่งเศส Salgado เริ่มสนใจอาชีพช่างภาพจากการที่ได้ลองถ่ายภาพจากกล้องภรรยา รวมถึงหน้าที่การงานทำให้ได้มีโอกาสเดินทางไปหลากหลายประเทศ จึงอยากพกกล้องเพื่อบันทึกประสบการณ์เหล่านี้เก็บไว้ ทำให้เขาสนใจการถ่ายภาพและค้นพบความสุขที่มากกว่าการวิเคราะห์รายงานตัวเลขในออฟฟิศ

เขาเริ่มฝึกถ่ายภาพจริงจังมากขึ้น จนกระทั่งในปี 1974 ตัดสินใจลาออกจากงานและหันมาเริ่มงานเป็นช่างภาพข่าวให้กับเอเจนซี่ Sygma ในปารีส จากนั้นเขาทำงานให้กับ Gamma ตั้งแต่ปี 1975 จนถึงปี 1979 ก่อนจะได้เข้าร่วมกับ Magnum ซึ่งเป็นเอเจนซี่ภาพข่าว (Photojournalism) ระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1947 โดยช่างภาพชื่อดังอย่าง Henri Cartier-Bresson, Robert Capa, George Rodger

หลังจากเข้าร่วมกับ Magnum ทำให้เขาได้เริ่มทำงานสารคดีและการถ่ายภาพที่มีเนื้อหามากขึ้น เขาเริ่มทำงานโครงการระยะยาวเพื่อสำรวจแรงงาน ความยากจน และการอพยพทั่วโลก บทบาทของช่างภาพในการบันทึกประวัติศาสตร์และสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางสังคมผ่านภาพขาวดำ แสดงให้เห็นบุคคลที่ใช้ชีวิตในสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมืองที่สิ้นหวัง เขามักจะนำเสนอภาพถ่ายเป็นภาพชุด (Series) เนื่องจากมุมมองของผลงานแต่ละชุดต้องการเรียบเรียงเรื่องราวให้คนได้เห็นบริบท (Context) ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนและมุมมองสังคมในลักษณะมหภาพ (sociology) เมื่อผู้คนได้เห็นสภาพแวดล้อมและรู้สึกได้เคลื่อนไหวเชื่อมโยงความคิดไปกับเหตุการณ์ต่างๆในภาพถ่ายของเขา

เอกลักษณ์สำคัญของ Sebastião Salgado คือการถ่ายภาพที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่มองเห็นตรงหน้าโดยอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมที่เหมาะสม ถ่ายทอดความสง่างามและความสมบูรณ์ของแบบถ่ายโดยไม่บังคับให้พวกเขาเป็นวีรบุรุษหรือเรียกร้องความสงสาร เช่นเดียวกับภาพถ่ายอื่นๆ มากมายจากการที่ได้เดินทางไปประเทศที่ยังไม่พัฒนาและพื้นที่ที่เต็มไปด้วยปัญหาต่างๆ ภาพถ่ายของ Salgado แสดงออกถึงการเฝ้ามองอย่างเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจ แนวทางการทำงานของ Salgado เปรียบเสมือนนักเศรษฐศาสตร์ที่มีมุมมองแหลมคมเห็นถึงความสัมพันธ์ในเชิงกลไก จนสามารถคาดการณ์ผลกระทบและมองเห็นสถานการณ์ต่างๆได้แตกต่างจากช่างภาพทั่วไป

"ภาพขาวดำ [Black & White photography] สามารถแสดงออกถึงความเท่าเทียม ให้มองเห็นมนุษย์ทุกๆคนได้เหมือนกัน"

themissionth.co เราจึงอยากนำเสนอผลงานของ Sebastião Salgado ผลงานของช่างภาพที่มีภารกิจอันยิ่งใหญ่ อยากให้ผู้อ่านได้ออกเดินทางไปพร้อมๆกัน

PART I: Humanity : มนุษย์

llli "Other Americas" หนังสือเล่มแรก จุดเริ่มต้นจากการเล่าเรื่องราวของผู้คน

“Other Americas” ซึ่งเป็นหนังสือภาพเล่มแรกของ Salgado ประกอบด้วยภาพบุคคลของชาวนาและชนพื้นเมือง ทิวทัศน์ และภาพประเพณีทางจิตวิญญาณของภูมิภาค ตีพิมพ์ในปี 1985 โดยสำนักพิมพ์ Contrejour ของฝรั่งเศส โดยมีภาพถ่ายจากการเดินทางของ Salgado ในบราซิล เอกวาดอร์ โบลิเวีย เปรู กัวเตมาลา และเม็กซิโก เขาตระเวนเดินทางไปทั่วลาตินอเมริกาตั้งแต่ปี 1977 ถึง 1984 เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศทางศาสนาและการเมืองในภูมิภาค

ผลงานชุดนี้สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมชนบทและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวละติน การเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของสังคมที่แสดงถึงแนวคิดความโบราณดั้งเดิม การถูกกดขี่ การล่าอาณานิคม ในภูมิภาคที่พยายามจะไปสู่เมืองสมัยใหม่ เขาแสดงให้เห็นเรื่องราวที่ถูกหลบซ่อนของภูมิภาคนี้ที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคง เป็นช่วงเวลาที่เผด็จการเข้ามาครอบงำสังคมและเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของทรัพยากร ที่ดิน ฯลฯ ผู้คนตัวเล็กๆต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้

ผลงานได้รับเสียงตอบรับจากภัณฑารักษ์และนักวิจารณ์เป็นอย่างดี ภาพถ่ายของ Salgado คือวิวัฒนาการของการถ่ายภาพสารคดีที่สามารถนำแนวคิดทางสังคมและมนุษย์วิทยาเข้ามารวบรวมอยู่ในหนังสือภาพ เป็นเหมือนรากฐานและปรัชญาการทำงานที่สามารถใช้ภาพถ่ายที่ธรรมดานำไปสู่แนวคิดในด้านอื่นๆ ไปจนถึงเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เป็นแนวคิดหลักในเวลาต่อมา หนังสือเล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นแห่งวิสัยทัศน์อันทรงพลัง จึงถูกนำกลับมาพิมพ์ใหม่อีกครั้ง จนปัจจุบันหนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือคลาสสิกในทันที

Part II: Explore : สำรวจ

llli โลกทุนนิยมและการล่าอาณานิคมในยุคโลกาภิวัตน์ พร้อมจะแยกมนุษย์เป็นชนชั้น แรงงานและผู้อพยพที่ถูกกดขี่คือสุสานจากโลกสิ้นหวัง

Workers : An Archaeology of the Industrial Age (1993)

ถือเป็นผลงานสำคัญที่ทำให้ผู้คนรู้จัก Sebastião Salgado และจดจำเขาในฐานะช่างภาพสารคดีระดับโลก Salgado ใช้เวลา 6 ปี (1986–1992) ในการถ่ายภาพคนงานหลายประเทศในละตินอเมริกา แอฟริกา เอเชีย และยุโรป เป้าหมายของเขาคือการบันทึกภาพการสิ้นสุดของยุคสมัยหนึ่งที่มนุษย์ที่ทำงานด้วยทักษะแรงงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมกำลังจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรอุตสาหกรรม เขาถ่ายภาพคนงานเหมืองในบราซิล คนต่อเรือในบังกลาเทศ คนงานเหล็กจากจีน คนเก็บชาในรวันดา คนเก็บเกี่ยวอ้อย ชาวประมง ฯลฯ โดยเขามักที่จะเข้าไปใช้ชีวิตและคลุกคลีอยู่เป็นเวลาหลายวันในการบันทึกภาพ ภาพถ่ายของ Salgado สะท้อนวิกฤตมนุษยธรรม แรงงาน และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 20

สื่อหลายสำนักต่างก็ให้ความเห็นว่าภาพชุด Worker เปรียบเหมือนหลักฐานทาง "โบราณคดี" ของชนชั้นแรงงาน เนื่องจากแรงงานจำนวนมากกำลังหายไปจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและโลกาภิวัตน์ ภาพคนงานที่เต็มไปด้วยเหงื่อ เขม่า คราบน้ำมัน ฝุ่น ความสกปรกมอมแมม บนแสงเงาและมุมกล้องที่ดูเหมือนสง่างาม แข็งแกร่ง แต่ปกคลุมไปด้วยความโหดร้ายดิบเถื่อนของอุตสาหกรรมต่างๆ

เขาเชื่อว่ามนุษย์ไม่ว่าจะต่างเชื้อชาติ สัญชาติ และภูมิศาสตร์ ต่างก็มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นแรงงานภาคอุตสาหกรรม การแสวงประโยชน์ทางเศรษฐกิจคือสิ่งที่เราต่างมีส่วนร่วม ผลงานชุดนี้ได้สร้างนิยามใหม่ว่าการถ่ายภาพสารคดีมีคุณค่าอย่างไร ที่ไม่ใช่แค่ในฐานะของการเป็นสื่อสารมวลชนในการรายงานข่าวเท่านั้น

Migrations: Humanity in Transition (2000)

แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเอง หลังจากที่ต้องอพยพออกจากบราซิล ซึ่งครอบครัวของเขาเก็บข้าวของและย้ายไปยังปารีส จากที่บราซิลอยู่ภายใต้การปกครองของทหารในขณะนั้น หลังจากที่เขาลาออกจาก Magnum (1994) เขาสำรวจปรากฏการณ์การอพยพครั้งใหญ่ในที่ต่างๆ ภาพถ่ายที่ถ่ายในช่วงเวลากว่า 7 ปี ได้บันทึกการอพยพครั้งใหญ่ของผู้คนทั่วโลกในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 สงคราม ภัยธรรมชาติ ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม การเติบโตอย่างรวดเร็วของประชากร อุตสาหกรรม และช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่กว้างขึ้น

ถ้าการเอาตัวรอดจะเป็นสัญชาตญาณที่แข็งแกร่ง กลุ่มผู้มีอำนาจมากกว่ามักแสดงออกมาในรูปแบบของความเกลียดชัง ความรุนแรง และความโลภ ทำให้เกิดการสังหารหมู่ในแอฟริกาและละตินอเมริกา และการกวาดล้างชาติพันธุ์ในยุโรป ฯลฯ ภาพถ่ายชุดนี้อยากแสดงให้คนตระหนักถึงว่ามนุษย์จะสามารถระงับสัญชาตญาณเหล่านี้ได้หรือไม่

ภาพถ่ายเหล่านี้พูดถึงความทุกข์ทรมานที่เผยให้เห็นศักดิ์ศรีและความกล้าหาญของผู้ถูกถ่าย จากมุมมองของช่างภาพด้วยความเห็นอกเห็นใจ ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นนั้นแตกต่างจากผู้อพยพอย่างเขา ตรงที่เป็นคนธรรมดาดำเนินชีวิตตามปกติในฐานะเกษตรกร นักเรียน หรือแม่บ้าน จนกระทั่งชะตากรรมของพวกเขาถูกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากการปราบปรามหรือสงคราม สูญเสียบ้านเรือน งาน การใช้ชีวิต และบางทีอาจสูญเสียคนที่รักของพวกเขาไป

พวกเขากลายเป็นผู้คนที่ต้องหลบหนี กลายเป็นตัวเลขในค่ายผู้ลี้ภัยที่ต้องเข้าคิวยาวเพื่อรอรับอาหารแจก นี่คือสัญญาณอันโหดร้ายเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอด และคนเหล่านี้ต้องยอมสละศักดิ์ศรีของตน ภาพถ่ายในชุดนี้แสดงให้เห็นด้านมืดของมนุษยชาติ และก็ชี้ทางให้เห็นจุดสว่างบางอย่าง ที่สามารถเป็นกระบอกเสียง มีหน่วยงานด้านมนุษยธรรมมาทำงานร่วมกับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพที่ยากไร้ทั่วโลกได้

Part III : Evident หลักฐาน

Genesis : บทบัญญัติของมวลมนุษยชาติกับการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม

แนวคิดของภาพถ่ายชุด Genesis คือการแสวงหาโลกในแบบที่ควรจะเป็น แต่เดิมธรรมชาติมีกลไกแบบต่างๆที่ถูกสร้างขึ้น โลกในแบบที่มีวิวัฒนาการดำรงอยู่มาเป็นเวลาหลายพันปีก่อนที่ชีวิตสมัยใหม่จะก้าวไปข้างหน้า Salgado จึงอยากออกแสดงถึงความเคารพในสิ่งที่สวยงามบนโลก Genesis คืองานภาพถ่ายที่ยืนยันถึงความงามของธรรมชาติซึ่งกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากมนุษย์ ซึ่งกำลังเปราะบางและทุกคนควรช่วยกันปกป้อง

"ผลงานชุดนี้เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าโลกของเรายังคงเป็นที่ตั้งของพื้นที่อันห่างไกลอันกว้างใหญ่ซึ่งธรรมชาติยังคงงดงามและเงียบสงบ" [icp.org]

Lélia Wanick Salgado ภรรยาของ Salgado เป็นผู้เรียบเรียงและเป็นภัณฑารักษ์ในผลงานชุดนี้ โดย Salgado ได้ออกสำรวจและสร้างงานชุดนี้ใช้เวลาถึง 8 ปี การเดินทางถ่ายภาพขาวดำ บันทึกภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ สัตว์ป่า ชนพื้นเมือง พื้นที่ห่างไกล โดยแบ่งออกเป็น 5 ภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ แอฟริกา ลุ่มน้ำอเมซอนและปันตานัลพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ ภาพถ่ายเหล่านี้รวมกันเป็นภาพขาวดำภายใต้แสงและเงาที่สวยงามของธรรมชาติ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ที่ยังไม่ถูกทำลาย

"การถ่ายภาพไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ภาพถ่ายยังคงทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราว ช่างภาพคือผู้บันทึกภาพความทรงจำที่คอยสะท้อนสังคมและประวัติศาสตร์ สำหรับโซเชียลมีเดียและโทรศัพท์มือถือคือภาษาใหม่ที่ใช้ถ่ายทอดภาพถ่ายเท่านั้น" [Al Jazeera English : Talk to Al Jazeera]


Part IIII : Legacy มรดก

อุดมการณ์ที่ล้ำค่ามากกว่าการถ่ายภาพ จากโครงการ Instituto Terra

Sebastião Salgado และภรรยาของเขา Lélia Wanick Salgado ได้ก่อตั้ง Instituto Terra เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรของบราซิลในปี 1998 หลังจากการเดินทางไปเห็นความยากลำบากของผู้คนมากมาย Salgado เริ่มมีปัญหาทางด้านจิตใจจากการที่ได้เห็นสภาพความแห้งแล้ง ความทุกข์ยาก และความสิ้นหวังตลอดหลายสิบปีจากการเดินทางถ่ายภาพ

ความคิดริเริ่มนี้เกิดจากความกังวลส่วนตัวของเขา เมื่อย้อนกลับมาสำรวจความเสียหายจากการทำลายสิ่งแวดล้อมที่ฟาร์มของครอบครัวในสมัยผ่านมา เห็นผลกระทบจากการทำลายสิ่งแวดล้อมของฟาร์มปศุสัตว์ครอบครัว Salgado จึงมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูธรรมชาติที่ถูกทำลายจากการใช้ประโยชน์อย่างผิดวิธีมาหลายทศวรรษ และเสื่อมโทรมอย่างรุนแรงจากการตัดไม้ทำลายป่าและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่รับผิดชอบ รวมถึงการพังทลายของดินและภาวะขาดแคลนน้ำ

ผลงานของ Instituto Terra ขับเคลื่อนด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การมีส่วนร่วมของชุมชน และวิสัยทัศน์ระยะยาว Instituto Terra ได้กลายเป็นแบบจำลองระดับโลกสำหรับการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เป็นตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การฟื้นฟูระบบนิเวศ และแนวทางแก้ปัญหาตามธรรมชาติ สถาบัน Terra ได้กลายเป็นเขตอนุรักษ์มรดกทางธรรมชาติเอกชนแห่งแรก (RPPN) ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เสื่อมโทรมของป่าแอตแลนติก

จากภารกิจตลอดชีวิตด้วยวิสัยทัศน์และมนุษยธรรม Sebastião Salgado ได้ทิ้งมรดกที่ล้ำค่าไว้ให้โลกของการถ่ายภาพ ผลงานของ Salgado เป็นแรงบันดาลใจให้นักถ่ายภาพสารคดีรุ่นใหม่ในการเล่าเรื่องเพื่อขับเคลื่อนสังคม มากไปกว่านั้นคือการแสดงออกถึงความห่วงใยต่อโลกอนาคตให้รุ่นต่อไปได้เจริญรอยตาม เป็นสิ่งสำคัญที่โลกใบนี้ควรค่าแก่การจารึกไว้

Sebastião Salgado ได้เสียชีวิตลงในวัย 81 ปี ที่ปารีส จากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นผลระยะยาวจากมาลาเรียที่เขาติดมาเมื่อปี 2010 จากการรายงานของครอบครัว





Ref : aljazeera.com, theguardian.com, britannica.com, icp.org, nytimes.com.co, worldphoto.org, Britrishjournalphotography ; 1854.photograph, niemanreports.org, bbc.co.uk , institutoterra.org

photo credit : icp.org,naturblanch.es, institutoterra.org, c4r.info, Britrishjournalphotography ; www.1854.photography,Arty.net, commons.wikimedia.org, nytimes.com, monovisions.com




"ช่างภาพ คือ ผู้บันทึกประวัติศาสตร์และความทรงจำ"

ภาพขาวดำสวยงามดุจภาพวาด เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์และโทนสีขาว เทา ดำ ที่หนักแน่น

ภาพขาวดำแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ภายใต้ความสวยงามมักเต็มไปด้วยเรื่องราวการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตกับโลกใบใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ตลอดหลายทศวรรษที่ Sebastião Salgado คือหนึ่งในช่างภาพสารคดีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ใช้ภาพถ่ายเป็นหลักฐานและประจักษ์พยานที่ชี้ให้เห็นความงามของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่แฝงไปด้วยความจริงอันโหดร้ายและแสนเปราะบาง

จากอดีตนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ที่อพยพลี้ภัยจากรัฐบาลเผด็จการ ทำให้เขาเริ่มออกเดินทางและค้นพบว่าอาชีพช่างภาพนั้นสามารถเปิดเผยและเล่าเรื่องราวที่ถูกหลบซ่อนจากทั่วทุกมุมโลก โดยนำเรื่องราวนี้มาถ่ายทอดเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้คนและสังคมเพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ภาพถ่ายเหล่านี้จะเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแก่โลกใบนี้ในอนาคต

"ทำไมโลกที่ยากจนถึงน่าเกลียดกว่าโลกที่ร่ำรวย ทั้งที่แสงก็เหมือนกัน ศักดิ์ศรีของคนแต่ละคนก็ต้องเหมือนกัน" [Theguardian.com]

llli ช่างภาพที่มองเห็นตัวเองไม่ต่างจากผู้อพยพ

Sebastião Salgado เกิดในชนบทของ Minas Gerais ประเทศบราซิล และเรียนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซาเปาโล สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทในปี 1968 ขณะที่ทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่กระทรวงการคลัง (1968–69) Salgado เข้าร่วมขบวนการต่อต้านรัฐบาลทหารของบราซิล เนื่องจากถูกมองว่าเป็นพวกหัวรุนแรงทางการเมือง ทำให้ในช่วงปี 1969 เขาและภรรยาหนีไปฝรั่งเศส ซึ่งเขาเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยปารีส และทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ

หลังจากอพยพไปอยู่ที่ฝรั่งเศส Salgado เริ่มสนใจอาชีพช่างภาพจากการที่ได้ลองถ่ายภาพจากกล้องภรรยา รวมถึงหน้าที่การงานทำให้ได้มีโอกาสเดินทางไปหลากหลายประเทศ จึงอยากพกกล้องเพื่อบันทึกประสบการณ์เหล่านี้เก็บไว้ ทำให้เขาสนใจการถ่ายภาพและค้นพบความสุขที่มากกว่าการวิเคราะห์รายงานตัวเลขในออฟฟิศ

เขาเริ่มฝึกถ่ายภาพจริงจังมากขึ้น จนกระทั่งในปี 1974 ตัดสินใจลาออกจากงานและหันมาเริ่มงานเป็นช่างภาพข่าวให้กับเอเจนซี่ Sygma ในปารีส จากนั้นเขาทำงานให้กับ Gamma ตั้งแต่ปี 1975 จนถึงปี 1979 ก่อนจะได้เข้าร่วมกับ Magnum ซึ่งเป็นเอเจนซี่ภาพข่าว (Photojournalism) ระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1947 โดยช่างภาพชื่อดังอย่าง Henri Cartier-Bresson, Robert Capa, George Rodger

หลังจากเข้าร่วมกับ Magnum ทำให้เขาได้เริ่มทำงานสารคดีและการถ่ายภาพที่มีเนื้อหามากขึ้น เขาเริ่มทำงานโครงการระยะยาวเพื่อสำรวจแรงงาน ความยากจน และการอพยพทั่วโลก บทบาทของช่างภาพในการบันทึกประวัติศาสตร์และสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางสังคมผ่านภาพขาวดำ แสดงให้เห็นบุคคลที่ใช้ชีวิตในสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมืองที่สิ้นหวัง เขามักจะนำเสนอภาพถ่ายเป็นภาพชุด (Series) เนื่องจากมุมมองของผลงานแต่ละชุดต้องการเรียบเรียงเรื่องราวให้คนได้เห็นบริบท (Context) ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องราวที่ซับซ้อนและมุมมองสังคมในลักษณะมหภาพ (sociology) เมื่อผู้คนได้เห็นสภาพแวดล้อมและรู้สึกได้เคลื่อนไหวเชื่อมโยงความคิดไปกับเหตุการณ์ต่างๆในภาพถ่ายของเขา

เอกลักษณ์สำคัญของ Sebastião Salgado คือการถ่ายภาพที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่มองเห็นตรงหน้าโดยอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมที่เหมาะสม ถ่ายทอดความสง่างามและความสมบูรณ์ของแบบถ่ายโดยไม่บังคับให้พวกเขาเป็นวีรบุรุษหรือเรียกร้องความสงสาร เช่นเดียวกับภาพถ่ายอื่นๆ มากมายจากการที่ได้เดินทางไปประเทศที่ยังไม่พัฒนาและพื้นที่ที่เต็มไปด้วยปัญหาต่างๆ ภาพถ่ายของ Salgado แสดงออกถึงการเฝ้ามองอย่างเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจ แนวทางการทำงานของ Salgado เปรียบเสมือนนักเศรษฐศาสตร์ที่มีมุมมองแหลมคมเห็นถึงความสัมพันธ์ในเชิงกลไก จนสามารถคาดการณ์ผลกระทบและมองเห็นสถานการณ์ต่างๆได้แตกต่างจากช่างภาพทั่วไป

"ภาพขาวดำ [Black & White photography] สามารถแสดงออกถึงความเท่าเทียม ให้มองเห็นมนุษย์ทุกๆคนได้เหมือนกัน"

themissionth.co เราจึงอยากนำเสนอผลงานของ Sebastião Salgado ผลงานของช่างภาพที่มีภารกิจอันยิ่งใหญ่ อยากให้ผู้อ่านได้ออกเดินทางไปพร้อมๆกัน

PART I: Humanity : มนุษย์

llli "Other Americas" หนังสือเล่มแรก จุดเริ่มต้นจากการเล่าเรื่องราวของผู้คน

“Other Americas” ซึ่งเป็นหนังสือภาพเล่มแรกของ Salgado ประกอบด้วยภาพบุคคลของชาวนาและชนพื้นเมือง ทิวทัศน์ และภาพประเพณีทางจิตวิญญาณของภูมิภาค ตีพิมพ์ในปี 1985 โดยสำนักพิมพ์ Contrejour ของฝรั่งเศส โดยมีภาพถ่ายจากการเดินทางของ Salgado ในบราซิล เอกวาดอร์ โบลิเวีย เปรู กัวเตมาลา และเม็กซิโก เขาตระเวนเดินทางไปทั่วลาตินอเมริกาตั้งแต่ปี 1977 ถึง 1984 เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศทางศาสนาและการเมืองในภูมิภาค

ผลงานชุดนี้สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมชนบทและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวละติน การเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของสังคมที่แสดงถึงแนวคิดความโบราณดั้งเดิม การถูกกดขี่ การล่าอาณานิคม ในภูมิภาคที่พยายามจะไปสู่เมืองสมัยใหม่ เขาแสดงให้เห็นเรื่องราวที่ถูกหลบซ่อนของภูมิภาคนี้ที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคง เป็นช่วงเวลาที่เผด็จการเข้ามาครอบงำสังคมและเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของทรัพยากร ที่ดิน ฯลฯ ผู้คนตัวเล็กๆต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้

ผลงานได้รับเสียงตอบรับจากภัณฑารักษ์และนักวิจารณ์เป็นอย่างดี ภาพถ่ายของ Salgado คือวิวัฒนาการของการถ่ายภาพสารคดีที่สามารถนำแนวคิดทางสังคมและมนุษย์วิทยาเข้ามารวบรวมอยู่ในหนังสือภาพ เป็นเหมือนรากฐานและปรัชญาการทำงานที่สามารถใช้ภาพถ่ายที่ธรรมดานำไปสู่แนวคิดในด้านอื่นๆ ไปจนถึงเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เป็นแนวคิดหลักในเวลาต่อมา หนังสือเล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นแห่งวิสัยทัศน์อันทรงพลัง จึงถูกนำกลับมาพิมพ์ใหม่อีกครั้ง จนปัจจุบันหนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือคลาสสิกในทันที

Part II: Explore : สำรวจ

llli โลกทุนนิยมและการล่าอาณานิคมในยุคโลกาภิวัตน์ พร้อมจะแยกมนุษย์เป็นชนชั้น แรงงานและผู้อพยพที่ถูกกดขี่คือสุสานจากโลกสิ้นหวัง

Workers : An Archaeology of the Industrial Age (1993)

ถือเป็นผลงานสำคัญที่ทำให้ผู้คนรู้จัก Sebastião Salgado และจดจำเขาในฐานะช่างภาพสารคดีระดับโลก Salgado ใช้เวลา 6 ปี (1986–1992) ในการถ่ายภาพคนงานหลายประเทศในละตินอเมริกา แอฟริกา เอเชีย และยุโรป เป้าหมายของเขาคือการบันทึกภาพการสิ้นสุดของยุคสมัยหนึ่งที่มนุษย์ที่ทำงานด้วยทักษะแรงงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมกำลังจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรอุตสาหกรรม เขาถ่ายภาพคนงานเหมืองในบราซิล คนต่อเรือในบังกลาเทศ คนงานเหล็กจากจีน คนเก็บชาในรวันดา คนเก็บเกี่ยวอ้อย ชาวประมง ฯลฯ โดยเขามักที่จะเข้าไปใช้ชีวิตและคลุกคลีอยู่เป็นเวลาหลายวันในการบันทึกภาพ ภาพถ่ายของ Salgado สะท้อนวิกฤตมนุษยธรรม แรงงาน และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 20

สื่อหลายสำนักต่างก็ให้ความเห็นว่าภาพชุด Worker เปรียบเหมือนหลักฐานทาง "โบราณคดี" ของชนชั้นแรงงาน เนื่องจากแรงงานจำนวนมากกำลังหายไปจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและโลกาภิวัตน์ ภาพคนงานที่เต็มไปด้วยเหงื่อ เขม่า คราบน้ำมัน ฝุ่น ความสกปรกมอมแมม บนแสงเงาและมุมกล้องที่ดูเหมือนสง่างาม แข็งแกร่ง แต่ปกคลุมไปด้วยความโหดร้ายดิบเถื่อนของอุตสาหกรรมต่างๆ

เขาเชื่อว่ามนุษย์ไม่ว่าจะต่างเชื้อชาติ สัญชาติ และภูมิศาสตร์ ต่างก็มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นแรงงานภาคอุตสาหกรรม การแสวงประโยชน์ทางเศรษฐกิจคือสิ่งที่เราต่างมีส่วนร่วม ผลงานชุดนี้ได้สร้างนิยามใหม่ว่าการถ่ายภาพสารคดีมีคุณค่าอย่างไร ที่ไม่ใช่แค่ในฐานะของการเป็นสื่อสารมวลชนในการรายงานข่าวเท่านั้น

Migrations: Humanity in Transition (2000)

แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเอง หลังจากที่ต้องอพยพออกจากบราซิล ซึ่งครอบครัวของเขาเก็บข้าวของและย้ายไปยังปารีส จากที่บราซิลอยู่ภายใต้การปกครองของทหารในขณะนั้น หลังจากที่เขาลาออกจาก Magnum (1994) เขาสำรวจปรากฏการณ์การอพยพครั้งใหญ่ในที่ต่างๆ ภาพถ่ายที่ถ่ายในช่วงเวลากว่า 7 ปี ได้บันทึกการอพยพครั้งใหญ่ของผู้คนทั่วโลกในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 สงคราม ภัยธรรมชาติ ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม การเติบโตอย่างรวดเร็วของประชากร อุตสาหกรรม และช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่กว้างขึ้น

ถ้าการเอาตัวรอดจะเป็นสัญชาตญาณที่แข็งแกร่ง กลุ่มผู้มีอำนาจมากกว่ามักแสดงออกมาในรูปแบบของความเกลียดชัง ความรุนแรง และความโลภ ทำให้เกิดการสังหารหมู่ในแอฟริกาและละตินอเมริกา และการกวาดล้างชาติพันธุ์ในยุโรป ฯลฯ ภาพถ่ายชุดนี้อยากแสดงให้คนตระหนักถึงว่ามนุษย์จะสามารถระงับสัญชาตญาณเหล่านี้ได้หรือไม่

ภาพถ่ายเหล่านี้พูดถึงความทุกข์ทรมานที่เผยให้เห็นศักดิ์ศรีและความกล้าหาญของผู้ถูกถ่าย จากมุมมองของช่างภาพด้วยความเห็นอกเห็นใจ ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นนั้นแตกต่างจากผู้อพยพอย่างเขา ตรงที่เป็นคนธรรมดาดำเนินชีวิตตามปกติในฐานะเกษตรกร นักเรียน หรือแม่บ้าน จนกระทั่งชะตากรรมของพวกเขาถูกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากการปราบปรามหรือสงคราม สูญเสียบ้านเรือน งาน การใช้ชีวิต และบางทีอาจสูญเสียคนที่รักของพวกเขาไป

พวกเขากลายเป็นผู้คนที่ต้องหลบหนี กลายเป็นตัวเลขในค่ายผู้ลี้ภัยที่ต้องเข้าคิวยาวเพื่อรอรับอาหารแจก นี่คือสัญญาณอันโหดร้ายเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอด และคนเหล่านี้ต้องยอมสละศักดิ์ศรีของตน ภาพถ่ายในชุดนี้แสดงให้เห็นด้านมืดของมนุษยชาติ และก็ชี้ทางให้เห็นจุดสว่างบางอย่าง ที่สามารถเป็นกระบอกเสียง มีหน่วยงานด้านมนุษยธรรมมาทำงานร่วมกับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพที่ยากไร้ทั่วโลกได้

Part III : Evident หลักฐาน

Genesis : บทบัญญัติของมวลมนุษยชาติกับการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม

แนวคิดของภาพถ่ายชุด Genesis คือการแสวงหาโลกในแบบที่ควรจะเป็น แต่เดิมธรรมชาติมีกลไกแบบต่างๆที่ถูกสร้างขึ้น โลกในแบบที่มีวิวัฒนาการดำรงอยู่มาเป็นเวลาหลายพันปีก่อนที่ชีวิตสมัยใหม่จะก้าวไปข้างหน้า Salgado จึงอยากออกแสดงถึงความเคารพในสิ่งที่สวยงามบนโลก Genesis คืองานภาพถ่ายที่ยืนยันถึงความงามของธรรมชาติซึ่งกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากมนุษย์ ซึ่งกำลังเปราะบางและทุกคนควรช่วยกันปกป้อง

"ผลงานชุดนี้เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าโลกของเรายังคงเป็นที่ตั้งของพื้นที่อันห่างไกลอันกว้างใหญ่ซึ่งธรรมชาติยังคงงดงามและเงียบสงบ" [icp.org]

Lélia Wanick Salgado ภรรยาของ Salgado เป็นผู้เรียบเรียงและเป็นภัณฑารักษ์ในผลงานชุดนี้ โดย Salgado ได้ออกสำรวจและสร้างงานชุดนี้ใช้เวลาถึง 8 ปี การเดินทางถ่ายภาพขาวดำ บันทึกภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ สัตว์ป่า ชนพื้นเมือง พื้นที่ห่างไกล โดยแบ่งออกเป็น 5 ภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ แอฟริกา ลุ่มน้ำอเมซอนและปันตานัลพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ ภาพถ่ายเหล่านี้รวมกันเป็นภาพขาวดำภายใต้แสงและเงาที่สวยงามของธรรมชาติ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ที่ยังไม่ถูกทำลาย

"การถ่ายภาพไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ภาพถ่ายยังคงทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราว ช่างภาพคือผู้บันทึกภาพความทรงจำที่คอยสะท้อนสังคมและประวัติศาสตร์ สำหรับโซเชียลมีเดียและโทรศัพท์มือถือคือภาษาใหม่ที่ใช้ถ่ายทอดภาพถ่ายเท่านั้น" [Al Jazeera English : Talk to Al Jazeera]


Part IIII : Legacy มรดก

อุดมการณ์ที่ล้ำค่ามากกว่าการถ่ายภาพ จากโครงการ Instituto Terra

Sebastião Salgado และภรรยาของเขา Lélia Wanick Salgado ได้ก่อตั้ง Instituto Terra เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรของบราซิลในปี 1998 หลังจากการเดินทางไปเห็นความยากลำบากของผู้คนมากมาย Salgado เริ่มมีปัญหาทางด้านจิตใจจากการที่ได้เห็นสภาพความแห้งแล้ง ความทุกข์ยาก และความสิ้นหวังตลอดหลายสิบปีจากการเดินทางถ่ายภาพ

ความคิดริเริ่มนี้เกิดจากความกังวลส่วนตัวของเขา เมื่อย้อนกลับมาสำรวจความเสียหายจากการทำลายสิ่งแวดล้อมที่ฟาร์มของครอบครัวในสมัยผ่านมา เห็นผลกระทบจากการทำลายสิ่งแวดล้อมของฟาร์มปศุสัตว์ครอบครัว Salgado จึงมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูธรรมชาติที่ถูกทำลายจากการใช้ประโยชน์อย่างผิดวิธีมาหลายทศวรรษ และเสื่อมโทรมอย่างรุนแรงจากการตัดไม้ทำลายป่าและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่รับผิดชอบ รวมถึงการพังทลายของดินและภาวะขาดแคลนน้ำ

ผลงานของ Instituto Terra ขับเคลื่อนด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การมีส่วนร่วมของชุมชน และวิสัยทัศน์ระยะยาว Instituto Terra ได้กลายเป็นแบบจำลองระดับโลกสำหรับการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เป็นตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การฟื้นฟูระบบนิเวศ และแนวทางแก้ปัญหาตามธรรมชาติ สถาบัน Terra ได้กลายเป็นเขตอนุรักษ์มรดกทางธรรมชาติเอกชนแห่งแรก (RPPN) ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เสื่อมโทรมของป่าแอตแลนติก

จากภารกิจตลอดชีวิตด้วยวิสัยทัศน์และมนุษยธรรม Sebastião Salgado ได้ทิ้งมรดกที่ล้ำค่าไว้ให้โลกของการถ่ายภาพ ผลงานของ Salgado เป็นแรงบันดาลใจให้นักถ่ายภาพสารคดีรุ่นใหม่ในการเล่าเรื่องเพื่อขับเคลื่อนสังคม มากไปกว่านั้นคือการแสดงออกถึงความห่วงใยต่อโลกอนาคตให้รุ่นต่อไปได้เจริญรอยตาม เป็นสิ่งสำคัญที่โลกใบนี้ควรค่าแก่การจารึกไว้

Sebastião Salgado ได้เสียชีวิตลงในวัย 81 ปี ที่ปารีส จากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นผลระยะยาวจากมาลาเรียที่เขาติดมาเมื่อปี 2010 จากการรายงานของครอบครัว





Ref : aljazeera.com, theguardian.com, britannica.com, icp.org, nytimes.com.co, worldphoto.org, Britrishjournalphotography ; 1854.photograph, niemanreports.org, bbc.co.uk , institutoterra.org

photo credit : icp.org,naturblanch.es, institutoterra.org, c4r.info, Britrishjournalphotography ; www.1854.photography,Arty.net, commons.wikimedia.org, nytimes.com, monovisions.com




Text:

Chanathip K

Chanathip K

PHOTO:

-

-

Related Posts