Hawker Hopping กินฉ่ำเช้าจรดค่ำในย่านไชน่าทาวน์สิงคโปร์ Chinatown Singapore

Hawker Hopping กินฉ่ำเช้าจรดค่ำในย่านไชน่าทาวน์สิงคโปร์ Chinatown Singapore

25 ม.ค. 2567

SHARE WITH:

25 ม.ค. 2567

25 ม.ค. 2567

SHARE WITH:

SHARE WITH:

Hawker Hopping กินฉ่ำเช้าจรดค่ำในย่านไชน่าทาวน์สิงคโปร์ Chinatown Singapore

วัดพระเขี้ยวแก้วสถาปัตยกรรมโดดเด่นเป็นสง่า ตึกทรงเก๋ Potato Head Singapore ที่ตั้งตระหง่านใจกลางแยก และอาคาร People's Park Complex สีเหลืองสะดุดตา คือไฮไลต์ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมเยือน ‘ไชน่าทาวน์’ ยามเดินทางท่องเที่ยวในสิงคโปร์

หลังสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์และถ่ายรูปสต็อกไว้ทำคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียเสร็จเรียบร้อย ก็มักไม่พลาดไปลองชิมข้าวมันไก่เจ้าดัง Tian Tian Hainanese Chicken Rice อาจจะแวะถ่ายรูปเล่นกับสตรีตอาร์ตอีกซักนิด แล้วก็ออกจากย่านนี้ไปหาที่เที่ยวที่กินในย่านอื่นกันต่อ

จริงๆ แล้วไชน่าทาวน์แห่งสิงคโปร์ ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นย่านที่คูลที่สุดในโลกอันดับที่ 14 ประจำปี 2566 โดยนิตยสาร Time Out ไม่ได้มีสิ่งที่น่าสนใจเพียงแค่นั้น แต่ยังมีของเด็ดๆ ให้สำรวจอีกหลากหลายเลย โดยเฉพาะของกิน! ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะร้านสแตนด์อโลนบนถนนสายหลักหรือตามตรอกซอกซอยเท่านั้นนะ ในฮอกเกอร์ (Hawker) ต่างๆ ที่กระจายตัวไปทั่วทั้งย่าน ก็มีของอร่อยซ่อนตัวอยู่มากมายเช่นกัน ตั้งแต่ของคาว (แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ข้าวมันไก่) ของหวาน ไปจนถึงกาแฟ เหมาะอย่างยิ่งที่จะทำ Hawker Hopping อิ่มอร่อย ครบจบในย่านเดียว!

วันนี้เราเลยมาแจกพิกัดให้สายกินทุกคนได้ไปตามรอยกันในทริปสิงคโปร์ครั้งต่อไป โดยมีทั้งหมด 4 ฮอกเกอร์ เดินแล้วก็กิน กินแล้วก็เดินไปเลยฉ่ำๆ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นย่ำค่ำคืน


IIIi - Amoy Street Food Centre

เริ่มฮอปปิ้งด้วยการเติมคาเฟอีนกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่ากันตั้งแต่เช้า ในฮอกเกอร์แห่งนี้มีร้านกาแฟน่าสนใจให้เลือกถึง 3 ร้านเลยทีเดียว

ร้านแรก Coffee Break (หมายเลข #02-78) เหมาะสุดๆ กับคนที่ไม่ชอบกินอะไรหนักๆ ในมื้อแรกของวัน เพราะที่นี่เขามีโทสต์ให้กินคู่กับเครื่องดื่มที่มีให้เลือกเยอะแบบจุใจ ตั้งแต่ Kopi (กาแฟโบราณ) Teh (ชาโบราณ) และ Yuanyang (ชาผสมกาแฟ) สำหรับคนที่อยากได้ฟีลคนโลคอล หรือจะเพิ่มรสชาติก็ได้นะ เช่น งาดำ อบเชย เฮเซลนัท มาซาล่า เปปเปอร์มินต์ ขิง หรือเผือก แต่ถ้าไม่ชอบความดั้งเดิมจ๋าๆ ขนาดนั้น ก็สามารถสั่งงาดำลาเต้ เฮเซลนัทลาเต้ มอคค่าพิสตาชิโอ มอคค่าซีซอลต์มินต์ ช็อกโกแลตซีซอลต์คาราเมล ไปจนถึงลาเวนเดอร์เลมอนเนดก็ยังได้

ส่วนโทสต์ก็มีทั้งรสชาติยอดฮิตประจำท้องถิ่นอย่างบัตเตอร์และสังขยาบัตเตอร์ หรือรสชาติอื่นๆ เช่น เฮเซลนัทโกโก้ พีนัทบัตเตอร์ และงาดำ (ตอนเราไปลองชิม จับคู่เซตเครื่องดื่มกับโทสต์เขาลดพิเศษ 50 เซ็นต์ด้วยนะ) จริงๆ ยังมีอีกหลายรสชาติเลยที่ไม่ได้พูดถึง ลองแวะเวียนไปชม ไปชิมกันได้ แถมเติมพลังได้แบบไม่อิ่มจนเกินไปด้วย

Mad Roaster (หมายเลข #02-107) เป็นอีกหนึ่งร้านที่น่าสนใจ จะจิบเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว ก็มีให้เลือกทั้ง Kopi และ Teh สไตล์ดั้งเดิม หรือสเปเชียลตี้คอฟฟี่อย่างเอสเปรสโซ อเมริกาโน่ ลาเต้ ฮันนี่บัตเตอร์ลาเต้ เดอร์ตี้มัทฉะ และเขาก็มีมัทฉะลาเต้สำหรับคนที่ไม่ดื่มกาแฟด้วยนะ แต่ถ้าอยากอิ่มท้องมากขึ้น ที่นี่เหมาะเลยที่จะลองเซ็ตเมนูอาหารเช้าสไตล์โลคอล ประกอบไปด้วยไข่ลวก เครื่องดื่ม และโทสต์สังขยา หรือจะจับคู่กาแฟกับบริออชก็ได้เช่นกัน โดยมีรสชาติช็อกโกแลตและซินนามอนให้เลือก อีกทั้งยังมีเมนู OG Grilled Cheese และ Kimchi Grilled Cheese ให้ได้ลิ้มลองด้วย

นอกจากจะเติมมื้อเช้าได้ที่นี่แล้ว ความพิเศษของร้านนี้คือโลโก้รูปไก่ที่ประดับบนกระดาษสวมแก้วกาแฟนั้นสร้างสรรค์โดยผู้ลี้ภัยจากชาติต่างๆ ซึ่งเงินบางส่วนที่เราจ่ายเพื่ออุดหนุนร้านนี้ก็จะถูกส่งต่อไปเป็นค่าจ้างให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้นี่เอง ซื้อเครื่องดื่มแล้วอย่าลืมพลิกอ่านประวัติของผู้ออกแบบโลโก้ที่คุณได้รับด้วยนะ

ถ้าอยากได้ฟีลเข้าคาเฟ่ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในฮอกเกอร์ ลองแวะไปที่ Daylight Coffee (หมายเลข #02-126) ที่นี่ราคาอาจจะสูงกว่า 2 ร้านแรกสักนิดหนึ่ง แต่ก็มีสเปเชียลตี้คอฟฟี่ให้เลือกหลายเมนูทั้งเอสเปรสโซดับเบิลช็อต แบล็กคอฟฟี่ ไวต์คอฟฟี่ ช็อกโกแลตลาเต้ คาราเมลลาเต้ วานิลลาลาเต้ สร้างสรรค์จากเมล็ดกาแฟที่คัดเลือกจากหลากประเทศเช่น อินโดนีเซียและบราซิล และยังมีเครื่องดื่มที่ไม่ใช่กาแฟอย่างมัทฉะลาเต้และชานมแบบไทยด้วย

ส่วนใครที่ตื่นสายและอยากจัดหนักจัดเต็มอาหารเช้าควบไปเผื่อมื้อกลางวันเลย แนะนำให้ไปซื้อกาแฟจากร้านใดร้านหนึ่งก่อนแล้วรีบมาต่อคิวที่ร้าน Han Kee Fish Soup (หมายเลข #02-129) เพราะคนท้องถิ่นเขากระซิบบอกเราว่าร้านนี้คิวยาวตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงกลางวัน (ร้านเปิดสิบเอ็ดโมง) เมนูเด็ดของทีนี่ก็ตามชื่อร้านเลย ซุปปลานั่นเอง น้ำซุปซดคล่องคอติดกลิ่นพริกไทยนิดๆ พร้อมเนื้อปลาชิ้นใหญ่ๆ แน่นๆ เต็มชาม กินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ หรือสั่งแบบเส้นหมี่บี๊หุ้นซุปปลาหรือข้าวต้มปลาก็ได้นะ มี 3 ขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ให้เลือกตามใจชอบ

 

IIIi - Hong Lim Market & Food Centre

จัดมื้อเช้าไปนิดเดียว เดินแป๊บๆ อาหารก็คงเริ่มย่อยไปจนเกือบหมดแล้วล่ะ มื้อกลางวันต้องมาแล้ว หรือบางคนที่ดื่มไปแค่กาแฟแล้วอยากจัดมื้อเช้าควบเที่ยงไปเลยจบๆ แวะเข้าร้านต่างๆ ในฮอกเกอร์นี้ได้เลย รับรองอิ่มท้องแน่นอน (หรือจะกินทุกเมนู ทุกร้านก็ได้นะ ไม่ติดเลย)

เริ่มที่ Cantonese Delights (หมายเลข #02-03) ร้านที่คนท้องถิ่นแนะนำให้ไปลองหากไปเยือนฮอกเกอร์แห่งนี้ ไฮไลต์ของร้านนี้เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Curry Fried Chicken Cutlet Noodles หรือบะหมี่แกงกะหรี่ไก่ทอด ไก่ทอดกรอบๆ เข้ากันได้ดีกับความเข้มข้นของแกงกะหรี่ บอกได้เลยว่าฉ่ำ! จริงๆ เขามีแบบเป็นข้าวด้วยนะ สามารถเลือกชิมได้เลยตามความชอบ แนะนำให้มาก่อนบ่ายโมงครึ่งนะ ไม่งั้นร้านปิดอดกิน!

เมนูเส้นๆ ยังไม่หมดจ้า มาสิงคโปร์ทั้งที ก็ต้องลองอาหารท้องถิ่นอย่างลักซากันสักหน่อย สั่งเมนู Asia Delight Laksa ของร้าน Famous Sungei Road Trishaw Laksa (หมายเลข #02-66) มาสัมผัสรสชาติของน้ำซุปกะทินัวๆ เคล้าด้วยรสชาติกลมกล่อมแทรกความเผ็ดนิดๆ หวานหน่อยๆ ที่ผสมผสานจากเครื่องเทศ กุ้งแห้ง หอยเชลล์แห้ง และหอยนางรมแห้ง พร้อมเครื่องเน้นๆ ทั้งเส้นหมี่ เต้าหู้ ถั่วงอก ปลาเส้น กุ้ง เนื้อไก่ หอยแครง ท็อปด้วยของเด็ดของร้านอย่างกุ้งเครย์ฟิชตัวเบิ้มๆ แม้ร้านจะปิดบ่ายสาม แต่มาก่อนเที่ยงก็ดี เพื่อเลี่ยงคิวยาวและวัตถุดิบบางอย่างหมดไปก่อน

จานเส้นท้องถิ่นอีกหนึ่งเมนูที่ต้องโดนคือ Char Kway Teow จากร้าน Outram Park Fried Kway Teow Mee (หมายเลข #02-17) ที่คนไทยหลายคนบอกว่าคล้ายๆ ผัดซีอิ๊วบ้านเรา รสชาติออกเค็มนัวๆ ได้กลิ่นกระทะ พร้อมเนื้อสัมผัสกรึบๆ เคี้ยวเพลินๆ จากเส้นก๋วยเตี๋ยว หอยแครง มันหมู และถั่วงอก อร่อยไปอีกแบบ ร้านนี้ก็เช่นกัน หากไม่อยากต่อแถวนานจนโมโหหิวไปซะก่อน แนะนำให้มาก่อนเที่ยง หรือมาเวลาอื่นก็ได้แต่อย่าเกินบ่ายสาม

จบเมนูเส้นจริงๆ แล้วที่ร้าน Ji Ji Wanton Noodle Specialist (หมายเลข #02-48/49) กับเมนูที่อยากให้ลอง นั่นก็คือ Ji Ji Signature Char Siew Wanton Noodles ที่มีให้เลือกทั้งแบบแห้งและแบบน้ำ แม้หน้าตาจะไม่ต่างจากบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงของไทยมากเท่าไรนัก แต่มาลองชิมรสชาติเมนูนี้ของเพื่อนบ้านดูบ้างก็น่าสนุกดีนะ ร้านนี้เปิด 2 ช่วงเวลาคือตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายสาม และเปิดอีกทีห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม ใครติดใจรสชาติและผ่านแถวนี้อีกทีช่วงเย็น ก็แวะลองเมนูอื่นๆ ของเขาได้

ฮอกเกอร์นี้มีเป็ดกงฟีขายด้วยนะ ใครอยากลองชิมรสชาติอาหารของอดีตไพรเวตเชฟมากฝีมือ ตรงไปที่ร้าน Eddy’s (หมายเลข #02-13) ได้เลย เป็ดกงฟีนี้สามารถเลือกเครื่องเคียงได้ 2 แบบคือ มันบด+โคลสลอว์+ข้าวโพด หรือสปาเก็ตตี้ Aglio E Olio+โคลสลอว์+ข้าวโพด แต่ถ้าใครเฉยๆ กับเป็ดกงฟี ที่นี่ก็มีเนื้อสัตว์อื่นๆ อย่างชิกเก้นช็อปและแซลมอนย่างให้เลือกด้วย และเช่นเดียวกับร้านอื่นๆ ที่บอกไป ร้านนี้ปิดบ่ายสามนะ

สายกินคาวแล้วต้องตบท้ายด้วยของหวาน ต้องลอง Granny’s Pancake (หมายเลข #02-39) แพนเค้กสไตล์โบราณที่มีไส้ให้เลือกทั้งถั่ว พีนัทบัตเตอร์ ถั่วแดง และมะพร้าว เนื้อนุ่มละมุนลิ้นกับรสชาติหอมหวานของไส้ต่างๆ ช่วยจบมื้อกลางวันที่นี่ได้ดีเลย (แต่ถ้ามาถึงที่นี่หลังเที่ยงหรือช่วงบ่าย แนะนำให้ซื้อไว้ก่อน เพราะร้านปิดบ่ายสอง)


IIIi - Maxwell Food Centre

แวะกินของว่างยามบ่ายที่ฮอกเกอร์นี้กันหน่อย ใช่แล้ว ที่นี่คือฮอกเกอร์ที่มีร้านข้าวมันไก่ Tian Tian ตั้งอยู่นั่นแหละ แต่เราขอแนะนำร้านอื่นบ้าง เริ่มด้วยเมนูโลคอลที่อาจจะแปลกสำหรับคนไทยแต่ตัวเราเองรู้สึกถูกปากและคิดว่าสร้างความสดชื่นได้ดีคือ Rojak จากร้าน Rojak · Popiah & Cockle (หมายเลข #01-56) สลัดผักผลไม้ ประกอบไปด้วยสับปะรด มันแกว แตงกวา มะม่วงดิบ ถั่วงอก ผสมกับปาท่องโก๋และเต้าหู้ทอด คลุกเคล้าน้ำซอสทำจากกะปิเคี่ยวน้ำตาลและพริก โรยถั่วลิสงคั่วบดและขิงซอย ได้รสชาติหลากหลายทั้งเปรี้ยว หวาน เผ็ด แถมกรุบๆ เคี้ยวเพลิน อร่อยและสนุกไปกับรสชาติที่อบอวลในปาก

หรือจะลองหอยนางรมทอดที่ร้าน Maxwell Fuzhou Oyster Cake (หมายเลข #01-05) อย่าเพิ่งคิดไปไกลว่าเหมือนหอยทอดที่พบเห็นได้ทั่วไปในบ้านเรา ร้านนี้เขาเป็นแผ่นแป้งทอดกรอบชิ้นเล็กกะทัดรัด สอดไส้เนื้อหอยนางรมผสมกับกุ้งสับ หมูสับ และผักชี ได้เท็กซ์เจอร์กรุบๆ จากถั่วลิสงตรงผิวด้านนอกของเนื้อแป้ง เหมาะสำหรับกินเป็นของว่างแก้หิวยามบ่าย จิ้มซอสสักนิดเพิ่มรสชาติ

แต่ถ้าอยากจัดเต็มเป็นอีกหนึ่งมื้อใหญ่เลย ลองแวะไปชิม Fu Shun Shao La Mian Jia (หมายเลข #01-71) ร้านนี้โดดเด่นด้วยหมูแดง หมูกรอบ และเป็ดย่าง ซึ่งสามารถสั่งมากินแบบข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว หรือผสมเนื้อกันก็ได้ตามที่ร้านระบุไว้บนเมนู ใครไปวันธรรมดา ร้านนี้เขาปิดห้าโมงเย็นนะ แต่ถ้าเป็นเสาร์-อาทิตย์ ปิดสองทุ่ม

 

IIIi - Chinatown Complex Market and Food Centre

ปิดท้ายวันดีๆ ด้วยมื้อเย็นยาวไปจนค่ำที่ฮอกเกอร์แห่งนี้ ถ้ามาถึงแล้ว รีบไปต่อคิวที่ร้าน Shanghai Fried Xiao Long Bao (หมายเลข #02-104) ก่อนเลย เพราะรอบเย็นของร้านนี้คิวยาวแบบสุดๆ (เริ่มตั้งแต่ห้าโมงครึ่งยาวไปจนถึงสองทุ่มครึ่ง) บอกเลยว่าอย่าหิวโซมาต่อแถวเด็ดขาด ของดีของเด็ดของที่นี่ก็คือ Sheng Jian Bao หรือเปาทอดไส้หมู เราไปลองชิมตามคำแนะนำของคนท้องถิ่นแล้วเลิฟแบบสุดๆ ไปเลย จึงอยากจะมาแนะนำต่อ เท็กซ์เจอร์ของแป้งด้านนอกกรอบๆ นุ่มๆ กัดเข้าไปแล้วได้ความชุ่มฉ่ำของเนื้อหมูข้างใน กลมกล่อมมาก แต่เตือนว่าเมนูนี้คนสั่งเยอะ ถึงได้คิวและสั่งเสร็จแล้ว ก็อาจจะต้องรออีกนาน ควรสั่งจานอื่นมากินรองท้องก่อน เช่น เสี่ยวหลงเปา ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ และเกี๊ยวในซอสน้ำมันพริก

อีกร้านที่เมนูคล้ายๆ กับร้านแรกก็คือ Zhong Guo La Mian Xiao Long Bao (หมายเลข #02-135) ซิกเนเจอร์ของเขาก็คือเสี่ยวหลงเปา ส่วนเมนูอื่นๆ ก็มีเกี๊ยวทอดกรอบ เกี๊ยวซอสพริกเสฉวน และบะหมี่ซอสผัด (La Mian with Fried Bean Sauce) รอบเย็นของร้านนี้ให้บริการตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงสองทุ่มครึ่ง แต่เตือนไว้ก่อนเลยว่าคิวยาวไม่แพ้กัน

จิบเครื่องดื่มกันสักหน่อยที่ร้านคราฟต์เบียร์ Smith Street Taps (หมายเลข #02-062) ที่มีให้เลือกหลากหลาย สามารถพูดคุยสอบถามกับสตาฟของร้านได้เลย น่ารักและเฟรนด์ลี่แบบสุดๆ นั่งชิลล์เพลินๆ ไปยาวๆ ได้ถึงสี่ทุ่มครึ่ง ส่วนวันศุกร์และเสาร์ได้ถึงห้าทุ่ม แถมอาจจะได้เมกเฟรนด์กับเพื่อนชาวโลคอลหรือนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ ที่แวะเวียนเข้ามาในร้านด้วยก็ได้นะ

จริงๆ ฮอกเกอร์นี้สามารถแวะมากินช่วงกลางวันก็ได้นะ รอบกลางวันของร้าน Shanghai Fried Xiao Long Bao เปิดตั้งแต่สิบโมงครึ่งไปจนถึงบ่ายสามครึ่ง ส่วนรอบกลางวันของ Zhong Guo La Mian Xiao Long Bao เริ่มตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายสาม หรือจะไปลองซิกเนเจอร์ของ Ma Li Ya Virgin Chicken (หมายเลข #02-189) อย่างข้าวไก่นึ่งซีอิ๊วและเต้าหู้เคี่ยวซอสสุดนุ่มชุ่มฉ่ำก็ได้ ร้านเปิดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงบ่ายสาม

ปิดท้ายด้วย Ah Kong Wah Kueh (หมายเลข #02-116) เพื่อลองขนมสไตล์ฮกเกี้ยนที่หายากมากและกำลังจะสูญหายไปจากสิงคโปร์อย่าง Wah Kueh หรือ bowl cake เค้กข้าวนึ่งที่มีส่วนผสมของกุ้งแห้ง เห็ด และหอมแดงทอด ราดด้วยซอสสีน้ำตาลรสชาติเค็มๆ หวานๆ ท็อปด้วยซอสพริกและกระเทียบสับ หลายคนบอกว่าเนื้อสัมผัสของขนมชนิดนี้คล้ายๆ จุ๊ยก๊วยแบบไม่มีหัวไชโป๊ผัดโรยหน้า และมีรสชาติที่ซับซ้อนกว่า ฟังดูอาจจะยังไม่ค่อยเก็ตเท่าไร แต่ใครเป็นสายฟู้ดดี้ ควรไปโดน ร้านเปิดตั้งแต่เจ็ดโมงสี่สิบห้าถึงบ่ายสอง หรือจนกว่าขนมจะหมด

ใครยังไม่อิ่ม ออกจากฮอกเกอร์แล้วไปต่อที่ Chinatown Street Market ที่อยู่ใกล้ๆ ได้เลย เพราะที่นี่มีขนมและของหวานที่อยู่คู่ย่านมาอย่างยาวนานและเป็นที่โปรดปรานของคนในพื้นที่ให้เติมเข้าท้องอีกมากมาย ร้านแรก Bugis 102 Roasted Chestnut เกาลัดคั่วที่เริ่มตำนานความอร่อยมาตั้งแต่ยุค 70 บนถนนบูกิส (Bugis) ก่อนที่จะย้ายมาย่านไชน่าทาวน์จนถึงปัจจุบัน ไปสัมผัสความหอม หวาน มันกันได้ตั้งแต่เที่ยงจนถึงสองทุ่ม

ติดๆ กันเลยเป็นร้าน Indo Sumatera ที่มาถึงแล้วต้องลอง Bamboo Cake หรือ Putu Bambu เค้กข้าวสไตล์อินโดนีเซียดั้งเดิมสอดไส้น้ำตาลมะพร้าวที่นึ่งในกระบอกไม้ไผ่ โรยด้วยเนื้อมะพร้าวฝอย รสชาติหวานกำลังดี หรือใครสนใจเมนูขนมอินโดนีเซียอื่นๆ ก็สามารถลิ้มลองได้เช่นกัน ร้านเปิดตั้งแต่เที่ยงจนถึงหนึ่งทุ่ม ล้างปากปิดมื้อก่อนไปลุยเที่ยวกันต่อด้วยน้ำผลไม้สกัดเย็นของร้าน Pink Grapefruit Cold Pressed Juice (เปิดตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงหกโมงครึ่ง) ทั้งถูกปากและดีต่อสุขภาพ สดชื่นแบบสุดๆ!


ก่อนจะออกเดินทางสู่ Chinatown Singapore สามารถอ่านรีวิว อัปเดตข่าวสาร หรือปักหมุดร้านดังได้เลยที่เว็บไซต์ทางการของที่นี่ https://chinatown.sg

  

วัดพระเขี้ยวแก้วสถาปัตยกรรมโดดเด่นเป็นสง่า ตึกทรงเก๋ Potato Head Singapore ที่ตั้งตระหง่านใจกลางแยก และอาคาร People's Park Complex สีเหลืองสะดุดตา คือไฮไลต์ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมเยือน ‘ไชน่าทาวน์’ ยามเดินทางท่องเที่ยวในสิงคโปร์

หลังสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์และถ่ายรูปสต็อกไว้ทำคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียเสร็จเรียบร้อย ก็มักไม่พลาดไปลองชิมข้าวมันไก่เจ้าดัง Tian Tian Hainanese Chicken Rice อาจจะแวะถ่ายรูปเล่นกับสตรีตอาร์ตอีกซักนิด แล้วก็ออกจากย่านนี้ไปหาที่เที่ยวที่กินในย่านอื่นกันต่อ

จริงๆ แล้วไชน่าทาวน์แห่งสิงคโปร์ ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นย่านที่คูลที่สุดในโลกอันดับที่ 14 ประจำปี 2566 โดยนิตยสาร Time Out ไม่ได้มีสิ่งที่น่าสนใจเพียงแค่นั้น แต่ยังมีของเด็ดๆ ให้สำรวจอีกหลากหลายเลย โดยเฉพาะของกิน! ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะร้านสแตนด์อโลนบนถนนสายหลักหรือตามตรอกซอกซอยเท่านั้นนะ ในฮอกเกอร์ (Hawker) ต่างๆ ที่กระจายตัวไปทั่วทั้งย่าน ก็มีของอร่อยซ่อนตัวอยู่มากมายเช่นกัน ตั้งแต่ของคาว (แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ข้าวมันไก่) ของหวาน ไปจนถึงกาแฟ เหมาะอย่างยิ่งที่จะทำ Hawker Hopping อิ่มอร่อย ครบจบในย่านเดียว!

วันนี้เราเลยมาแจกพิกัดให้สายกินทุกคนได้ไปตามรอยกันในทริปสิงคโปร์ครั้งต่อไป โดยมีทั้งหมด 4 ฮอกเกอร์ เดินแล้วก็กิน กินแล้วก็เดินไปเลยฉ่ำๆ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นย่ำค่ำคืน


IIIi - Amoy Street Food Centre

เริ่มฮอปปิ้งด้วยการเติมคาเฟอีนกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่ากันตั้งแต่เช้า ในฮอกเกอร์แห่งนี้มีร้านกาแฟน่าสนใจให้เลือกถึง 3 ร้านเลยทีเดียว

ร้านแรก Coffee Break (หมายเลข #02-78) เหมาะสุดๆ กับคนที่ไม่ชอบกินอะไรหนักๆ ในมื้อแรกของวัน เพราะที่นี่เขามีโทสต์ให้กินคู่กับเครื่องดื่มที่มีให้เลือกเยอะแบบจุใจ ตั้งแต่ Kopi (กาแฟโบราณ) Teh (ชาโบราณ) และ Yuanyang (ชาผสมกาแฟ) สำหรับคนที่อยากได้ฟีลคนโลคอล หรือจะเพิ่มรสชาติก็ได้นะ เช่น งาดำ อบเชย เฮเซลนัท มาซาล่า เปปเปอร์มินต์ ขิง หรือเผือก แต่ถ้าไม่ชอบความดั้งเดิมจ๋าๆ ขนาดนั้น ก็สามารถสั่งงาดำลาเต้ เฮเซลนัทลาเต้ มอคค่าพิสตาชิโอ มอคค่าซีซอลต์มินต์ ช็อกโกแลตซีซอลต์คาราเมล ไปจนถึงลาเวนเดอร์เลมอนเนดก็ยังได้

ส่วนโทสต์ก็มีทั้งรสชาติยอดฮิตประจำท้องถิ่นอย่างบัตเตอร์และสังขยาบัตเตอร์ หรือรสชาติอื่นๆ เช่น เฮเซลนัทโกโก้ พีนัทบัตเตอร์ และงาดำ (ตอนเราไปลองชิม จับคู่เซตเครื่องดื่มกับโทสต์เขาลดพิเศษ 50 เซ็นต์ด้วยนะ) จริงๆ ยังมีอีกหลายรสชาติเลยที่ไม่ได้พูดถึง ลองแวะเวียนไปชม ไปชิมกันได้ แถมเติมพลังได้แบบไม่อิ่มจนเกินไปด้วย

Mad Roaster (หมายเลข #02-107) เป็นอีกหนึ่งร้านที่น่าสนใจ จะจิบเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว ก็มีให้เลือกทั้ง Kopi และ Teh สไตล์ดั้งเดิม หรือสเปเชียลตี้คอฟฟี่อย่างเอสเปรสโซ อเมริกาโน่ ลาเต้ ฮันนี่บัตเตอร์ลาเต้ เดอร์ตี้มัทฉะ และเขาก็มีมัทฉะลาเต้สำหรับคนที่ไม่ดื่มกาแฟด้วยนะ แต่ถ้าอยากอิ่มท้องมากขึ้น ที่นี่เหมาะเลยที่จะลองเซ็ตเมนูอาหารเช้าสไตล์โลคอล ประกอบไปด้วยไข่ลวก เครื่องดื่ม และโทสต์สังขยา หรือจะจับคู่กาแฟกับบริออชก็ได้เช่นกัน โดยมีรสชาติช็อกโกแลตและซินนามอนให้เลือก อีกทั้งยังมีเมนู OG Grilled Cheese และ Kimchi Grilled Cheese ให้ได้ลิ้มลองด้วย

นอกจากจะเติมมื้อเช้าได้ที่นี่แล้ว ความพิเศษของร้านนี้คือโลโก้รูปไก่ที่ประดับบนกระดาษสวมแก้วกาแฟนั้นสร้างสรรค์โดยผู้ลี้ภัยจากชาติต่างๆ ซึ่งเงินบางส่วนที่เราจ่ายเพื่ออุดหนุนร้านนี้ก็จะถูกส่งต่อไปเป็นค่าจ้างให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้นี่เอง ซื้อเครื่องดื่มแล้วอย่าลืมพลิกอ่านประวัติของผู้ออกแบบโลโก้ที่คุณได้รับด้วยนะ

ถ้าอยากได้ฟีลเข้าคาเฟ่ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในฮอกเกอร์ ลองแวะไปที่ Daylight Coffee (หมายเลข #02-126) ที่นี่ราคาอาจจะสูงกว่า 2 ร้านแรกสักนิดหนึ่ง แต่ก็มีสเปเชียลตี้คอฟฟี่ให้เลือกหลายเมนูทั้งเอสเปรสโซดับเบิลช็อต แบล็กคอฟฟี่ ไวต์คอฟฟี่ ช็อกโกแลตลาเต้ คาราเมลลาเต้ วานิลลาลาเต้ สร้างสรรค์จากเมล็ดกาแฟที่คัดเลือกจากหลากประเทศเช่น อินโดนีเซียและบราซิล และยังมีเครื่องดื่มที่ไม่ใช่กาแฟอย่างมัทฉะลาเต้และชานมแบบไทยด้วย

ส่วนใครที่ตื่นสายและอยากจัดหนักจัดเต็มอาหารเช้าควบไปเผื่อมื้อกลางวันเลย แนะนำให้ไปซื้อกาแฟจากร้านใดร้านหนึ่งก่อนแล้วรีบมาต่อคิวที่ร้าน Han Kee Fish Soup (หมายเลข #02-129) เพราะคนท้องถิ่นเขากระซิบบอกเราว่าร้านนี้คิวยาวตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงกลางวัน (ร้านเปิดสิบเอ็ดโมง) เมนูเด็ดของทีนี่ก็ตามชื่อร้านเลย ซุปปลานั่นเอง น้ำซุปซดคล่องคอติดกลิ่นพริกไทยนิดๆ พร้อมเนื้อปลาชิ้นใหญ่ๆ แน่นๆ เต็มชาม กินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ หรือสั่งแบบเส้นหมี่บี๊หุ้นซุปปลาหรือข้าวต้มปลาก็ได้นะ มี 3 ขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ให้เลือกตามใจชอบ

 

IIIi - Hong Lim Market & Food Centre

จัดมื้อเช้าไปนิดเดียว เดินแป๊บๆ อาหารก็คงเริ่มย่อยไปจนเกือบหมดแล้วล่ะ มื้อกลางวันต้องมาแล้ว หรือบางคนที่ดื่มไปแค่กาแฟแล้วอยากจัดมื้อเช้าควบเที่ยงไปเลยจบๆ แวะเข้าร้านต่างๆ ในฮอกเกอร์นี้ได้เลย รับรองอิ่มท้องแน่นอน (หรือจะกินทุกเมนู ทุกร้านก็ได้นะ ไม่ติดเลย)

เริ่มที่ Cantonese Delights (หมายเลข #02-03) ร้านที่คนท้องถิ่นแนะนำให้ไปลองหากไปเยือนฮอกเกอร์แห่งนี้ ไฮไลต์ของร้านนี้เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Curry Fried Chicken Cutlet Noodles หรือบะหมี่แกงกะหรี่ไก่ทอด ไก่ทอดกรอบๆ เข้ากันได้ดีกับความเข้มข้นของแกงกะหรี่ บอกได้เลยว่าฉ่ำ! จริงๆ เขามีแบบเป็นข้าวด้วยนะ สามารถเลือกชิมได้เลยตามความชอบ แนะนำให้มาก่อนบ่ายโมงครึ่งนะ ไม่งั้นร้านปิดอดกิน!

เมนูเส้นๆ ยังไม่หมดจ้า มาสิงคโปร์ทั้งที ก็ต้องลองอาหารท้องถิ่นอย่างลักซากันสักหน่อย สั่งเมนู Asia Delight Laksa ของร้าน Famous Sungei Road Trishaw Laksa (หมายเลข #02-66) มาสัมผัสรสชาติของน้ำซุปกะทินัวๆ เคล้าด้วยรสชาติกลมกล่อมแทรกความเผ็ดนิดๆ หวานหน่อยๆ ที่ผสมผสานจากเครื่องเทศ กุ้งแห้ง หอยเชลล์แห้ง และหอยนางรมแห้ง พร้อมเครื่องเน้นๆ ทั้งเส้นหมี่ เต้าหู้ ถั่วงอก ปลาเส้น กุ้ง เนื้อไก่ หอยแครง ท็อปด้วยของเด็ดของร้านอย่างกุ้งเครย์ฟิชตัวเบิ้มๆ แม้ร้านจะปิดบ่ายสาม แต่มาก่อนเที่ยงก็ดี เพื่อเลี่ยงคิวยาวและวัตถุดิบบางอย่างหมดไปก่อน

จานเส้นท้องถิ่นอีกหนึ่งเมนูที่ต้องโดนคือ Char Kway Teow จากร้าน Outram Park Fried Kway Teow Mee (หมายเลข #02-17) ที่คนไทยหลายคนบอกว่าคล้ายๆ ผัดซีอิ๊วบ้านเรา รสชาติออกเค็มนัวๆ ได้กลิ่นกระทะ พร้อมเนื้อสัมผัสกรึบๆ เคี้ยวเพลินๆ จากเส้นก๋วยเตี๋ยว หอยแครง มันหมู และถั่วงอก อร่อยไปอีกแบบ ร้านนี้ก็เช่นกัน หากไม่อยากต่อแถวนานจนโมโหหิวไปซะก่อน แนะนำให้มาก่อนเที่ยง หรือมาเวลาอื่นก็ได้แต่อย่าเกินบ่ายสาม

จบเมนูเส้นจริงๆ แล้วที่ร้าน Ji Ji Wanton Noodle Specialist (หมายเลข #02-48/49) กับเมนูที่อยากให้ลอง นั่นก็คือ Ji Ji Signature Char Siew Wanton Noodles ที่มีให้เลือกทั้งแบบแห้งและแบบน้ำ แม้หน้าตาจะไม่ต่างจากบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงของไทยมากเท่าไรนัก แต่มาลองชิมรสชาติเมนูนี้ของเพื่อนบ้านดูบ้างก็น่าสนุกดีนะ ร้านนี้เปิด 2 ช่วงเวลาคือตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายสาม และเปิดอีกทีห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม ใครติดใจรสชาติและผ่านแถวนี้อีกทีช่วงเย็น ก็แวะลองเมนูอื่นๆ ของเขาได้

ฮอกเกอร์นี้มีเป็ดกงฟีขายด้วยนะ ใครอยากลองชิมรสชาติอาหารของอดีตไพรเวตเชฟมากฝีมือ ตรงไปที่ร้าน Eddy’s (หมายเลข #02-13) ได้เลย เป็ดกงฟีนี้สามารถเลือกเครื่องเคียงได้ 2 แบบคือ มันบด+โคลสลอว์+ข้าวโพด หรือสปาเก็ตตี้ Aglio E Olio+โคลสลอว์+ข้าวโพด แต่ถ้าใครเฉยๆ กับเป็ดกงฟี ที่นี่ก็มีเนื้อสัตว์อื่นๆ อย่างชิกเก้นช็อปและแซลมอนย่างให้เลือกด้วย และเช่นเดียวกับร้านอื่นๆ ที่บอกไป ร้านนี้ปิดบ่ายสามนะ

สายกินคาวแล้วต้องตบท้ายด้วยของหวาน ต้องลอง Granny’s Pancake (หมายเลข #02-39) แพนเค้กสไตล์โบราณที่มีไส้ให้เลือกทั้งถั่ว พีนัทบัตเตอร์ ถั่วแดง และมะพร้าว เนื้อนุ่มละมุนลิ้นกับรสชาติหอมหวานของไส้ต่างๆ ช่วยจบมื้อกลางวันที่นี่ได้ดีเลย (แต่ถ้ามาถึงที่นี่หลังเที่ยงหรือช่วงบ่าย แนะนำให้ซื้อไว้ก่อน เพราะร้านปิดบ่ายสอง)


IIIi - Maxwell Food Centre

แวะกินของว่างยามบ่ายที่ฮอกเกอร์นี้กันหน่อย ใช่แล้ว ที่นี่คือฮอกเกอร์ที่มีร้านข้าวมันไก่ Tian Tian ตั้งอยู่นั่นแหละ แต่เราขอแนะนำร้านอื่นบ้าง เริ่มด้วยเมนูโลคอลที่อาจจะแปลกสำหรับคนไทยแต่ตัวเราเองรู้สึกถูกปากและคิดว่าสร้างความสดชื่นได้ดีคือ Rojak จากร้าน Rojak · Popiah & Cockle (หมายเลข #01-56) สลัดผักผลไม้ ประกอบไปด้วยสับปะรด มันแกว แตงกวา มะม่วงดิบ ถั่วงอก ผสมกับปาท่องโก๋และเต้าหู้ทอด คลุกเคล้าน้ำซอสทำจากกะปิเคี่ยวน้ำตาลและพริก โรยถั่วลิสงคั่วบดและขิงซอย ได้รสชาติหลากหลายทั้งเปรี้ยว หวาน เผ็ด แถมกรุบๆ เคี้ยวเพลิน อร่อยและสนุกไปกับรสชาติที่อบอวลในปาก

หรือจะลองหอยนางรมทอดที่ร้าน Maxwell Fuzhou Oyster Cake (หมายเลข #01-05) อย่าเพิ่งคิดไปไกลว่าเหมือนหอยทอดที่พบเห็นได้ทั่วไปในบ้านเรา ร้านนี้เขาเป็นแผ่นแป้งทอดกรอบชิ้นเล็กกะทัดรัด สอดไส้เนื้อหอยนางรมผสมกับกุ้งสับ หมูสับ และผักชี ได้เท็กซ์เจอร์กรุบๆ จากถั่วลิสงตรงผิวด้านนอกของเนื้อแป้ง เหมาะสำหรับกินเป็นของว่างแก้หิวยามบ่าย จิ้มซอสสักนิดเพิ่มรสชาติ

แต่ถ้าอยากจัดเต็มเป็นอีกหนึ่งมื้อใหญ่เลย ลองแวะไปชิม Fu Shun Shao La Mian Jia (หมายเลข #01-71) ร้านนี้โดดเด่นด้วยหมูแดง หมูกรอบ และเป็ดย่าง ซึ่งสามารถสั่งมากินแบบข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว หรือผสมเนื้อกันก็ได้ตามที่ร้านระบุไว้บนเมนู ใครไปวันธรรมดา ร้านนี้เขาปิดห้าโมงเย็นนะ แต่ถ้าเป็นเสาร์-อาทิตย์ ปิดสองทุ่ม

 

IIIi - Chinatown Complex Market and Food Centre

ปิดท้ายวันดีๆ ด้วยมื้อเย็นยาวไปจนค่ำที่ฮอกเกอร์แห่งนี้ ถ้ามาถึงแล้ว รีบไปต่อคิวที่ร้าน Shanghai Fried Xiao Long Bao (หมายเลข #02-104) ก่อนเลย เพราะรอบเย็นของร้านนี้คิวยาวแบบสุดๆ (เริ่มตั้งแต่ห้าโมงครึ่งยาวไปจนถึงสองทุ่มครึ่ง) บอกเลยว่าอย่าหิวโซมาต่อแถวเด็ดขาด ของดีของเด็ดของที่นี่ก็คือ Sheng Jian Bao หรือเปาทอดไส้หมู เราไปลองชิมตามคำแนะนำของคนท้องถิ่นแล้วเลิฟแบบสุดๆ ไปเลย จึงอยากจะมาแนะนำต่อ เท็กซ์เจอร์ของแป้งด้านนอกกรอบๆ นุ่มๆ กัดเข้าไปแล้วได้ความชุ่มฉ่ำของเนื้อหมูข้างใน กลมกล่อมมาก แต่เตือนว่าเมนูนี้คนสั่งเยอะ ถึงได้คิวและสั่งเสร็จแล้ว ก็อาจจะต้องรออีกนาน ควรสั่งจานอื่นมากินรองท้องก่อน เช่น เสี่ยวหลงเปา ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ และเกี๊ยวในซอสน้ำมันพริก

อีกร้านที่เมนูคล้ายๆ กับร้านแรกก็คือ Zhong Guo La Mian Xiao Long Bao (หมายเลข #02-135) ซิกเนเจอร์ของเขาก็คือเสี่ยวหลงเปา ส่วนเมนูอื่นๆ ก็มีเกี๊ยวทอดกรอบ เกี๊ยวซอสพริกเสฉวน และบะหมี่ซอสผัด (La Mian with Fried Bean Sauce) รอบเย็นของร้านนี้ให้บริการตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงสองทุ่มครึ่ง แต่เตือนไว้ก่อนเลยว่าคิวยาวไม่แพ้กัน

จิบเครื่องดื่มกันสักหน่อยที่ร้านคราฟต์เบียร์ Smith Street Taps (หมายเลข #02-062) ที่มีให้เลือกหลากหลาย สามารถพูดคุยสอบถามกับสตาฟของร้านได้เลย น่ารักและเฟรนด์ลี่แบบสุดๆ นั่งชิลล์เพลินๆ ไปยาวๆ ได้ถึงสี่ทุ่มครึ่ง ส่วนวันศุกร์และเสาร์ได้ถึงห้าทุ่ม แถมอาจจะได้เมกเฟรนด์กับเพื่อนชาวโลคอลหรือนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ ที่แวะเวียนเข้ามาในร้านด้วยก็ได้นะ

จริงๆ ฮอกเกอร์นี้สามารถแวะมากินช่วงกลางวันก็ได้นะ รอบกลางวันของร้าน Shanghai Fried Xiao Long Bao เปิดตั้งแต่สิบโมงครึ่งไปจนถึงบ่ายสามครึ่ง ส่วนรอบกลางวันของ Zhong Guo La Mian Xiao Long Bao เริ่มตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายสาม หรือจะไปลองซิกเนเจอร์ของ Ma Li Ya Virgin Chicken (หมายเลข #02-189) อย่างข้าวไก่นึ่งซีอิ๊วและเต้าหู้เคี่ยวซอสสุดนุ่มชุ่มฉ่ำก็ได้ ร้านเปิดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงบ่ายสาม

ปิดท้ายด้วย Ah Kong Wah Kueh (หมายเลข #02-116) เพื่อลองขนมสไตล์ฮกเกี้ยนที่หายากมากและกำลังจะสูญหายไปจากสิงคโปร์อย่าง Wah Kueh หรือ bowl cake เค้กข้าวนึ่งที่มีส่วนผสมของกุ้งแห้ง เห็ด และหอมแดงทอด ราดด้วยซอสสีน้ำตาลรสชาติเค็มๆ หวานๆ ท็อปด้วยซอสพริกและกระเทียบสับ หลายคนบอกว่าเนื้อสัมผัสของขนมชนิดนี้คล้ายๆ จุ๊ยก๊วยแบบไม่มีหัวไชโป๊ผัดโรยหน้า และมีรสชาติที่ซับซ้อนกว่า ฟังดูอาจจะยังไม่ค่อยเก็ตเท่าไร แต่ใครเป็นสายฟู้ดดี้ ควรไปโดน ร้านเปิดตั้งแต่เจ็ดโมงสี่สิบห้าถึงบ่ายสอง หรือจนกว่าขนมจะหมด

ใครยังไม่อิ่ม ออกจากฮอกเกอร์แล้วไปต่อที่ Chinatown Street Market ที่อยู่ใกล้ๆ ได้เลย เพราะที่นี่มีขนมและของหวานที่อยู่คู่ย่านมาอย่างยาวนานและเป็นที่โปรดปรานของคนในพื้นที่ให้เติมเข้าท้องอีกมากมาย ร้านแรก Bugis 102 Roasted Chestnut เกาลัดคั่วที่เริ่มตำนานความอร่อยมาตั้งแต่ยุค 70 บนถนนบูกิส (Bugis) ก่อนที่จะย้ายมาย่านไชน่าทาวน์จนถึงปัจจุบัน ไปสัมผัสความหอม หวาน มันกันได้ตั้งแต่เที่ยงจนถึงสองทุ่ม

ติดๆ กันเลยเป็นร้าน Indo Sumatera ที่มาถึงแล้วต้องลอง Bamboo Cake หรือ Putu Bambu เค้กข้าวสไตล์อินโดนีเซียดั้งเดิมสอดไส้น้ำตาลมะพร้าวที่นึ่งในกระบอกไม้ไผ่ โรยด้วยเนื้อมะพร้าวฝอย รสชาติหวานกำลังดี หรือใครสนใจเมนูขนมอินโดนีเซียอื่นๆ ก็สามารถลิ้มลองได้เช่นกัน ร้านเปิดตั้งแต่เที่ยงจนถึงหนึ่งทุ่ม ล้างปากปิดมื้อก่อนไปลุยเที่ยวกันต่อด้วยน้ำผลไม้สกัดเย็นของร้าน Pink Grapefruit Cold Pressed Juice (เปิดตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงหกโมงครึ่ง) ทั้งถูกปากและดีต่อสุขภาพ สดชื่นแบบสุดๆ!


ก่อนจะออกเดินทางสู่ Chinatown Singapore สามารถอ่านรีวิว อัปเดตข่าวสาร หรือปักหมุดร้านดังได้เลยที่เว็บไซต์ทางการของที่นี่ https://chinatown.sg

  

Text:

Witthawat P.

Witthawat P.

PHOTO:

Courtesy of Chinatown Singapore

Courtesy of Chinatown Singapore

Related Posts