Acting Coach กระจกสะท้อนตัวตนและหัวใจของนักแสดง

Acting Coach กระจกสะท้อนตัวตนและหัวใจของนักแสดง

12 ส.ค. 2568

SHARE WITH:

12 ส.ค. 2568

12 ส.ค. 2568

SHARE WITH:

SHARE WITH:

Acting Coach กระจกสะท้อนตัวตนและหัวใจของนักแสดง

เจาะลึกบทบาทของ Acting Coach ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างอารมณ์ ความสมจริง และความเป็นมนุษย์ในทุกตัวละคร

ในโลกของกองถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ และโฆษณา ที่เต็มไปด้วยความกดดัน ที่ต้องทำงานร่วมกับ ทีมกล้อง ผู้กำกับ ภายใต้เงื่อไขของเวลาที่เร่งรีบ กว่าเป็นผลงานภาพยนตร์ออกเผยแพร่สู่สายตาของผู้ชม เบื้องหลังเราคงเคยเห็นใครบางคนยืนจ้องมองนักแสดงเล่นตามบทหน้าเซตกองถ่าย คอยสังเกตการพูดที่ผิดจังหวะ แววตาที่ยังไม่เข้าถึงอารมณ์ หรือการเคลื่อนไหวที่ยังไม่เชื่อมกับบทของตัวละคร

อาชีพ Acting Coach หลายคนรู้จักตำแหน่งนี้ผ่านเบื้องหลังละครหรือภาพยนตร์ เราจะพามาพูดกับ 'ดีไซน์ ณัฐฎา เชาวะวนิชย์' แอคติ้งโค้ชที่มีผลงานในซีรีส์กระแสแรงเรื่องล่าสุดอย่าง "สงครามส่งด่วน" ของ Netflix และผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ มากมายอย่าง Homestay (2018), แสงกระสือ (2018), ธี่หยด (2023), เพื่อนไม่สนิท (2024), 4King 2 (2024) ฯลฯ ผลงานของเธอคือส่วนหนึ่งที่คอยเป็นแรงผลักดันให้กับนักแสดงทั้งหมดปลดปล่อยศักยภาพออกมาได้มากที่สุด ทำให้ผู้กำกับสามารถสร้างงานภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมได้

จากจุดเริ่มต้นของการทำละครเวทีคณะที่มหาวิทยาลัย จนกลายเป็นความหลงใหลมาสู่การเป็นอาชีพ Acting Coach ที่เธออยากจริงจังกับเส้นทางนี้ และเชื่อว่าการทำอาชีพนี้ทำให้เราสามารถเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้เข้าใจสังคม เข้าใจโลกใบนี้ จนไปถึงการเข้าใจการใช้ชีวิตของตัวเองมากขึ้น เราจึงอยากพาทุกคนมารู้จักเบื้องหลังการทำงานของอาชีพ Acting Coach ว่ามีกระบวนการอย่างไรบ้าง

โค้ชที่เชื่อมโยงผู้กำกับกับนักแสดง

เส้นทางของไซน์ไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นแอคติ้งโค้ชโดยตรง ชีวิตผ่านทั้งการเป็นโปรดิวเซอร์ ผู้ช่วยผู้กำกับ ไปจนถึงงานคุมเสื้อผ้าในกองถ่าย จนได้มาพบกับ ‘ครูร่ม ร่มฉัตร ธนาลาภพิพัฒน์’ ที่ Spark Drama Studio จากที่เราได้ลองไปเรียนเป็นเด็กในคลาสทั่วไป แต่วันหนึ่งครูร่มชวนไปเป็นผู้ช่วย จึงได้เปิดโลกและได้เห็นการทำงานกับผู้กำกับ การอ่านบท การบรีฟนักแสดง เราได้ตามไปออกกองอย่างใกล้ชิด โดยเรื่องแรกที่เข้าไปทำคือภาพยนตร์เรื่อง Homestay

จากจุดนั้นได้เริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ช่วยโค้ช จนกระทั่งวันหนึ่งได้รับโอกาสให้ดูแลนักแสดงด้วยตัวเองแบบเต็มตัวในการทำเวิร์กช็อปของโปรเจกต์หนึ่ง "เราก็รู้สึกว่าเรามีความพร้อมจากการได้ฝึกงานหลายกองจนเชื่อมั่นในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราไม่ได้เก่งที่สุด แต่เราก็รู้ว่าเราเข้าใจการโค้ชนักแสดงจริงๆ"

คำว่า "เข้าใจ"สำหรับเรา ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วยกับทุกอย่างที่นักแสดงทำ หากแต่คือการเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้ลองและพลาด โดยที่ยังมีเบื้องหลังอย่างเรารับฟังและชี้แนวทางให้คอยปรับปรุงและเติมในส่วนที่ขาด

"Acting Coach มันไม่ใช่แค่สอนว่าร้องไห้แบบนี้ เดินแบบนั้น แต่มันคือการอยู่ตรงนั้นให้เขารู้ว่ามีคนหนึ่งเข้าใจและคอยปรับให้เขามั่นใจอยู่เสมอ" เราต้องหาสมดุลระหว่างวิสัยทัศน์ของผู้กำกับและการเตรียมตัวของนักแสดง เพราะสุดท้ายงานคือของผู้กำกับ แต่กระบวนการต้องทำให้นักแสดงเชื่อในตัวละคร ขั้นแรกคืออ่านบทจนเข้าใจโครงสร้างและแรงขับของตัวละคร จากนั้นจึงใช้วิธีสื่อสารที่เหมาะสมเพื่อพานักแสดงไปถึงอารมณ์ที่ต้องการ โดยไม่เสียความเป็นธรรมชาติ

การเตรียมนักแสดงเข้าสู่ตัวละคร

"อันดับแรกเราต้องเข้าใจบทก่อน เราต้องอ่านบทจนเข้าใจและถอดรหัสนักแสดงและตัวละครออกมา ซึ่งในบรรยากาศการทำงานหน้ากองถ่าย เราจะรู้ว่าแต่ละคิวมันจะต้องรีบมากๆ เพื่อทำงานแข่งกับเวลา ดังนั้นเราก็ต้องแก้ไขสถานการณ์หาวิธีพูดให้นักแสดงปรับจูนอารมณ์ โชคดีที่เราเป็นคนประนีประนอมได้"

"ไซน์เชื่อว่าการเข้าใจบริบทและอารมณ์ในตัวบท จะทำให้นักแสดงไม่รู้สึกเหมือนโดนจับไปวางแปะในฉาก แต่สามารถเชื่อมโยงชีวิตของตัวละครได้เหมือนเป็นของตัวเอง ทุกครั้งที่นักแสดงจะเข้าฉาก ต้องย้อนอ่านบททั้งหมดมาก่อน เพราะหน้าที่เราไม่ใช่แค่เข้าใจตัวละคร แต่ต้องเข้าใจวิธีที่นักแสดงแต่ละคนจะเดินไปหาตัวละครนั้นด้วย เราจะไม่ถามแค่ว่าฉากนี้เล่นอะไร แต่ถามว่า ก่อนหน้านี้ตัวละครเขาเจออะไรมาบ้าง หลังจากนี้เขาจะไปไหนต่อ?"

ถึงแม้ว่านักแสดงจะอ่านบทมาแล้ว แต่อารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่จะเปิดสวิตช์ขึ้นมาได้ทันที ทรายบอกว่า "มันไม่ใช่ทุกวันหรอกที่เราจะร้องไห้ได้ในนาทีแรกของการแอ็คชั่น บางทีเขาก็มีเรื่องในชีวิต บางทีเขาก็แค่ไม่พร้อม และหน้าที่เราคือหาทางพาเขาไปถึงตรงนั้นให้ได้โดยไม่บังคับ"

"อย่างในซีนที่ต้องร้องไห้ เรามักบอกนักแสดงเสมอว่า อย่าไปโฟกัสแค่การ 'ร้องไห้' แต่ให้เข้าใจเหตุผลว่าทำไมตัวละครถึงต้องร้อง มีเหตุการณ์อะไรที่พาเขามาถึงจุดนั้น ถ้าหากนักแสดงเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งมากจนไม่อิน หรือยังทำอารมณ์ไม่ได้ เราก็จะพาเขาย้อนกลับไปหาความทรงจำส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง ถ้าจำเป็นจริงๆ อาจใช้น้ำตาเทียมช่วย แต่เราจะหลีกเลี่ยงวิธีนี้หากไม่จำเป็น

เพราะสิ่งสำคัญคือการประเมินจากสิ่งที่นักแสดงแสดงออกมา แล้วถามตัวเองว่า 'นี่คือการร้องไห้จริงหรือไม่' ผู้กำกับเชื่อหรือไม่ และสุดท้ายคือ คนดูเชื่อหรือไม่ เพราะทุกอย่างที่ออกมาบนหน้าจอ ต้องทำให้คนดูเชื่อได้ นี่แหละคือหน้าที่ของเรา"

Acting Coach ต้องเป็นครอบครัวของนักแสดงในบางช่วงเวลา

"อีกสิ่งที่ไซน์เรียนรู้จากการทำงานคือ ไม่มีนักแสดงคนไหนเหมือนกันเลย แม้ต่อให้ได้รับบทเดียวกัน พื้นเพของแต่ละคนก็นำพาวิธีตีความที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง นักแสดงร้อยคน เราก็เจอต่างกันร้อยแบบ "ตอนเราทำแคสติ้ง เราจะเห็นเลยว่าบทเดียวกัน แต่คนที่มาเล่นกลับทำให้มันมีชีวิตคนละแบบ บางทีแค่เปลี่ยนสายตา เปลี่ยนวิธีพูด ก็รู้สึกว่าเราเชื่อเขาไปอีกแบบ ความหลากหลายของมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่เราต้องเปิดใจรับ และทำความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้นักแสดงเล่นได้ดีหน้ากล้องเท่านั้น"

"เราไม่สอนให้เขาทำแบบที่เราคิดว่าใช่ แต่เราช่วยให้เขาเห็นว่ามีหลายวิธีการที่ไปถึงอารมณ์ได้ หลายครั้งที่เราต้องปรับการโค้ชให้เหมาะกับนักแสดงแต่ละคน บางคนต้องใช้เหตุผล บางคนต้องให้ลอง บางคนต้องให้เวลาส่วนตัว มันเหมือนเราต้องเล่นบทแทนตัวเองด้วยนะ เป็นแม่ พี่สาว น้องสาว เพื่อน ทำยังไงที่จะปรับตัวเราเข้าหานักแสดงเพื่อให้เขาฟังเราและสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับกองถ่ายมากที่สุด"

ความสัมพันธ์ที่ดีในกองถ่ายระหว่างนักแสดงกับ Acting Coach ไม่ได้เกิดจากการทำงานร่วมกันบ่อยๆ เท่านั้น แต่มาจากความไว้วางใจที่ต้องสะสมทีละน้อยจากการฟังจริงๆ บางครั้งนักแสดงไปเจออะไรมา ช่วงนี้ยุ่ง ช่วงนี้เจอข่าวไม่ดี เราก็คอยรับฟัง และทำความเข้าใจชีวิตเขาไปด้วย

"เคยมีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง ที่กองรีบมากๆ จนเราต้องใช้ตัวช่วยเพื่อให้น้ำตานักแสดงออกมาเพื่อความสมจริง ทำให้นักแสดงรู้สึกเสียใจว่า ทำไมเราไม่ให้เวลาเขา เขาก็อยากพยายามให้มันได้ด้วยตัวเองเต็มที่ แต่ว่ากองมันรีบมากจริงๆ ทำให้เราต้องเปิดใจคุยกับเขาว่า เราเข้าใจและเคารพในความตั้งใจ แต่อยากให้เชื่อใจผู้กำกับ ว่าเขาได้ที่ต้องการแล้ว เขาเอาไปตัดต่อได้ ซึ่งมันเพอร์เฟคแล้ว เราต้องมูฟออน เพราะสุดท้ายมันเป็นหน้าเรา แต่เป็นหนังของผู้กำกับ เราทำดีที่สุดแล้วนะ"

"เราต้องคอยผ่อนคลายเขาให้เขาสบายใจ ถึงแม้ว่านักแสดงรู้สึกไม่ดี แต่เขาจะเข้าใจถ้าเรารับฟังเขาแบบไม่ตัดสิน ทำให้ผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีน้อยใจ อึดอัดใจ แต่ทุกคนอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ"


ความสัมพันธ์ระหว่าง "นักแสดง" และ "ตัวละคร"

บางครั้งนักแสดงต้องปรับตัวเองให้เดินเข้าไปในโลกของตัวละคร แต่บางครั้งก็เป็นตัวนักแสดงเองที่แทรกเข้าไปอยู่ในตัวละคร ทั้งสองสิ่งนี้คาบเกี่ยวกันอยู่เสมอ นักแสดงจึงต้องเชื่อในสิ่งที่ตัวละครทำ แอคติ้งโค้ชต้องช่วยให้เขาเข้าใจว่า "ทำไมตัวละครเขาถึงตัดสินใจเช่นนั้น" เส้นแบ่งระหว่างทั้งสองโลกบางครั้งก็คาบเกี่ยวกันอยู่ นักแสดงกลับบ้าน เขาอาจยังเผลอพกนิสัยของตัวละครติดตัวไป หรือบางทีตัวละครก็ได้รับอิทธิพลจากบุคลิกของนักแสดงเอง

ครูร่มเคยบอกเราว่า "นักแสดงก็เหมือนผ้าผืนหนึ่ง เวลาเราเอาผ้าไปเช็ดสีอะไร มันก็จะซึมซับสีนั้น แม้เรื่องราวจะจบลงแล้ว สีเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ ต้องซัก ต้องปั่น ต้องใช้เวลาสักพักกว่าสีจะจางหาย"

เมื่อ "ผ้า" คือ "นักแสดง" และ "สี" คือ "ตัวละคร" เนื้อผ้าที่ดีเปรียบเสมือนนักแสดงที่ดี ซึมซับสีได้อย่างแนบเนียน และเมื่อถึงเวลา ก็สามารถสลัดมันออกได้อย่างสง่างาม ในโลกการแสดงการผสมกันของทั้งสองสิ่งอยู่ภายใต้พื้นฐานความหลากหลายของการเป็นมนุษย์ จึงทำให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน


เบื้องหลังความสำเร็จของซีรีส์ "สงครามส่งด่วน"

"ถึงแม้ว่าเราดูแลนักแสดงหลักทุกคนในเรื่องนี้ แต่เราต้องให้เครดิตผู้กำกับอย่าง พี่ไก่ ไก่-ณฐพล บุญประกอบ ซึ่งเขารู้อยู่แล้วว่าเขาจะเอาคนเหล่านี้มาใช้งานอย่างไร สำหรับตัวละครทั้งหมดในเรื่อง ก็จะปล่อยให้เขาเล่นไปตามธรรมชาติ เราแค่เข้าไปโค้ชในบางจุด แค่นั่งดูเขาเล่นกันเราก็สนุกแล้ว ซึ่งแต่ละคนตลกมาก ไม่แปลกที่งานออกมามันสนุก และผู้คนต่างชื่นชอบ"

ส่วนพระเอกของเรื่อง ไอซ์ ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ "เราบอกได้เลยว่าขอยกให้เป็นเบอร์หนึ่งได้อย่างเต็มปาก เพราะไอซ์เป็นนักแสดงที่เข้าใจในตัวละครมากๆ ในเรื่องนี้ไอซ์ลดน้ำหนัก ปรับบุคลิก เปลี่ยนวิธีการพูด เราเห็นถึงเบื้องหลังที่เขาทำงานกับตัวละครอย่างหนัก เพราะในมิติของตัวละครเรื่องนี้มันมีความจน ความพ่ายแพ้ ความผิดหวัง ไอซ์จึงต้องกลับไปหาคนต้นเรื่องเพื่อเรียนรู้เรื่องราว ที่มากกว่านั้น มันต้องสื่อสารออกมาทั้งท่าทาง แววตา และอิริยาบถ เราเห็นได้เลยว่าไอซ์สามารถพาคนดูไปถึงตัวละครนี้ได้ เราแค่มีหน้าที่บางส่วนที่คอยเติมบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ทำให้พลังทั้งหมดมันส่งมาถึงทุกคนจนซีรีส์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ"


รับมือกับแรงกดดันและดูแลใจของตัวเอง

แม้บทบาทของแอคติ้งโค้ชจะดูคล้ายผู้เฝ้าสังเกตอยู่ในกองถ่ายคอยรับคำสั่งผู้กำกับ แต่ความจริงแล้ว ไซน์ต้องรับแรงกดดันจากหลายทิศทางพร้อมกัน ทั้งจากทีมกำกับ ฝ่ายโปรดักชั่น และตัวนักแสดงเอง

"บางครั้งการต้องเป็นตัวกลางระหว่างคนที่ต้องการให้ได้ มันไม่ใช่งานที่แค่ใช้ความเข้าใจ แต่มันต้องใช้พลังใจมหาศาลด้วย นอกจากนี้ยังต้องเผชิญกับความคาดหวังที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่องานแต่ละชิ้นประสบความสำเร็จมากขึ้น ในทุกครั้งที่มีคนบอกว่า Acting Coach ช่วยให้นักแสดงเล่นดี ก็ดีใจนะ แต่ข้างในเราก็ถามตัวเองเสมอว่า แล้วงานหน้าล่ะ ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะออกมาดีเหมือนเดิม"

"เราเองก็ต้องดูแลตัวเองเรื่องความเครียด ในช่วงแรกเราก็เครียดเหมือนกัน หลายครั้งที่เราโทรไปปรับทุกข์กับครูร่มในเรื่องความเครียด ที่เราหลุดจากมันไม่ได้สักที จากการออกกองที่โดนอะไรตั้งมากมาย เราก็ต้องปล่อยวางกับมัน เพราะสุดท้ายเราคือคนนำพานักแสดงไป ถ้าเราปล่อยวางไม่ได้ นักแสดงที่เราดูแลเขาก็จะไม่เชื่อเรา ดังนั้นกลับบ้านหาของอร่อยกิน ช็อปปิ้ง เล่นกับหมา และบอกกับตัวเองว่าไม่สามารถทำให้ใครชอบงานเราได้ทุกคน"

อาชีพที่สร้างงานศิลปะผ่านความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่ทฤษฎี

"บทบาทของแอคติ้งโค้ชจึงไม่ใช่การควบคุม แต่มันคือการรับฟังมนุษย์ให้เข้าใจ และย้ำเตือนตัวเองว่าเราไม่ได้ทำงานกับตัวละครเพียงอย่างเดียว แต่เรากำลังทำงานกับมนุษย์ที่มีหัวใจ ความหวัง ความกลัว และศักยภาพซ่อนอยู่"

"เพราะสุดท้ายแล้ว งานเราเป็นส่วนหนึ่งของผู้กำกับ ถึงแม้จะมีคนมาบอกว่านักแสดงที่คุณดูนั้นเล่นดีมาเลย แต่ยังไงเราคือผู้ช่วยของผู้กำกับคนหนึ่งไม่ใช่เพียงแค่การติวเข้มให้นักแสดงร้องไห้เป็น หรือพูดบทได้ถูกต้อง แต่คือการสร้าง "เซฟโซน" ให้กับคนที่กำลังแสดง สุดท้ายงานที่ดียังไงก็ต้องให้เครดิตผู้กำกับที่เก่ง การได้มีโอกาสทำงานร่วมกับผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี จะทำให้เราได้ส่งเสริมงานเขา จนเกิดเป็นงานที่ยอดเยี่ยมได้



เจาะลึกบทบาทของ Acting Coach ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างอารมณ์ ความสมจริง และความเป็นมนุษย์ในทุกตัวละคร

ในโลกของกองถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ และโฆษณา ที่เต็มไปด้วยความกดดัน ที่ต้องทำงานร่วมกับ ทีมกล้อง ผู้กำกับ ภายใต้เงื่อไขของเวลาที่เร่งรีบ กว่าเป็นผลงานภาพยนตร์ออกเผยแพร่สู่สายตาของผู้ชม เบื้องหลังเราคงเคยเห็นใครบางคนยืนจ้องมองนักแสดงเล่นตามบทหน้าเซตกองถ่าย คอยสังเกตการพูดที่ผิดจังหวะ แววตาที่ยังไม่เข้าถึงอารมณ์ หรือการเคลื่อนไหวที่ยังไม่เชื่อมกับบทของตัวละคร

อาชีพ Acting Coach หลายคนรู้จักตำแหน่งนี้ผ่านเบื้องหลังละครหรือภาพยนตร์ เราจะพามาพูดกับ 'ดีไซน์ ณัฐฎา เชาวะวนิชย์' แอคติ้งโค้ชที่มีผลงานในซีรีส์กระแสแรงเรื่องล่าสุดอย่าง "สงครามส่งด่วน" ของ Netflix และผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ มากมายอย่าง Homestay (2018), แสงกระสือ (2018), ธี่หยด (2023), เพื่อนไม่สนิท (2024), 4King 2 (2024) ฯลฯ ผลงานของเธอคือส่วนหนึ่งที่คอยเป็นแรงผลักดันให้กับนักแสดงทั้งหมดปลดปล่อยศักยภาพออกมาได้มากที่สุด ทำให้ผู้กำกับสามารถสร้างงานภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมได้

จากจุดเริ่มต้นของการทำละครเวทีคณะที่มหาวิทยาลัย จนกลายเป็นความหลงใหลมาสู่การเป็นอาชีพ Acting Coach ที่เธออยากจริงจังกับเส้นทางนี้ และเชื่อว่าการทำอาชีพนี้ทำให้เราสามารถเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้เข้าใจสังคม เข้าใจโลกใบนี้ จนไปถึงการเข้าใจการใช้ชีวิตของตัวเองมากขึ้น เราจึงอยากพาทุกคนมารู้จักเบื้องหลังการทำงานของอาชีพ Acting Coach ว่ามีกระบวนการอย่างไรบ้าง

โค้ชที่เชื่อมโยงผู้กำกับกับนักแสดง

เส้นทางของไซน์ไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นแอคติ้งโค้ชโดยตรง ชีวิตผ่านทั้งการเป็นโปรดิวเซอร์ ผู้ช่วยผู้กำกับ ไปจนถึงงานคุมเสื้อผ้าในกองถ่าย จนได้มาพบกับ ‘ครูร่ม ร่มฉัตร ธนาลาภพิพัฒน์’ ที่ Spark Drama Studio จากที่เราได้ลองไปเรียนเป็นเด็กในคลาสทั่วไป แต่วันหนึ่งครูร่มชวนไปเป็นผู้ช่วย จึงได้เปิดโลกและได้เห็นการทำงานกับผู้กำกับ การอ่านบท การบรีฟนักแสดง เราได้ตามไปออกกองอย่างใกล้ชิด โดยเรื่องแรกที่เข้าไปทำคือภาพยนตร์เรื่อง Homestay

จากจุดนั้นได้เริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ช่วยโค้ช จนกระทั่งวันหนึ่งได้รับโอกาสให้ดูแลนักแสดงด้วยตัวเองแบบเต็มตัวในการทำเวิร์กช็อปของโปรเจกต์หนึ่ง "เราก็รู้สึกว่าเรามีความพร้อมจากการได้ฝึกงานหลายกองจนเชื่อมั่นในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราไม่ได้เก่งที่สุด แต่เราก็รู้ว่าเราเข้าใจการโค้ชนักแสดงจริงๆ"

คำว่า "เข้าใจ"สำหรับเรา ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วยกับทุกอย่างที่นักแสดงทำ หากแต่คือการเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้ลองและพลาด โดยที่ยังมีเบื้องหลังอย่างเรารับฟังและชี้แนวทางให้คอยปรับปรุงและเติมในส่วนที่ขาด

"Acting Coach มันไม่ใช่แค่สอนว่าร้องไห้แบบนี้ เดินแบบนั้น แต่มันคือการอยู่ตรงนั้นให้เขารู้ว่ามีคนหนึ่งเข้าใจและคอยปรับให้เขามั่นใจอยู่เสมอ" เราต้องหาสมดุลระหว่างวิสัยทัศน์ของผู้กำกับและการเตรียมตัวของนักแสดง เพราะสุดท้ายงานคือของผู้กำกับ แต่กระบวนการต้องทำให้นักแสดงเชื่อในตัวละคร ขั้นแรกคืออ่านบทจนเข้าใจโครงสร้างและแรงขับของตัวละคร จากนั้นจึงใช้วิธีสื่อสารที่เหมาะสมเพื่อพานักแสดงไปถึงอารมณ์ที่ต้องการ โดยไม่เสียความเป็นธรรมชาติ

การเตรียมนักแสดงเข้าสู่ตัวละคร

"อันดับแรกเราต้องเข้าใจบทก่อน เราต้องอ่านบทจนเข้าใจและถอดรหัสนักแสดงและตัวละครออกมา ซึ่งในบรรยากาศการทำงานหน้ากองถ่าย เราจะรู้ว่าแต่ละคิวมันจะต้องรีบมากๆ เพื่อทำงานแข่งกับเวลา ดังนั้นเราก็ต้องแก้ไขสถานการณ์หาวิธีพูดให้นักแสดงปรับจูนอารมณ์ โชคดีที่เราเป็นคนประนีประนอมได้"

"ไซน์เชื่อว่าการเข้าใจบริบทและอารมณ์ในตัวบท จะทำให้นักแสดงไม่รู้สึกเหมือนโดนจับไปวางแปะในฉาก แต่สามารถเชื่อมโยงชีวิตของตัวละครได้เหมือนเป็นของตัวเอง ทุกครั้งที่นักแสดงจะเข้าฉาก ต้องย้อนอ่านบททั้งหมดมาก่อน เพราะหน้าที่เราไม่ใช่แค่เข้าใจตัวละคร แต่ต้องเข้าใจวิธีที่นักแสดงแต่ละคนจะเดินไปหาตัวละครนั้นด้วย เราจะไม่ถามแค่ว่าฉากนี้เล่นอะไร แต่ถามว่า ก่อนหน้านี้ตัวละครเขาเจออะไรมาบ้าง หลังจากนี้เขาจะไปไหนต่อ?"

ถึงแม้ว่านักแสดงจะอ่านบทมาแล้ว แต่อารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่จะเปิดสวิตช์ขึ้นมาได้ทันที ทรายบอกว่า "มันไม่ใช่ทุกวันหรอกที่เราจะร้องไห้ได้ในนาทีแรกของการแอ็คชั่น บางทีเขาก็มีเรื่องในชีวิต บางทีเขาก็แค่ไม่พร้อม และหน้าที่เราคือหาทางพาเขาไปถึงตรงนั้นให้ได้โดยไม่บังคับ"

"อย่างในซีนที่ต้องร้องไห้ เรามักบอกนักแสดงเสมอว่า อย่าไปโฟกัสแค่การ 'ร้องไห้' แต่ให้เข้าใจเหตุผลว่าทำไมตัวละครถึงต้องร้อง มีเหตุการณ์อะไรที่พาเขามาถึงจุดนั้น ถ้าหากนักแสดงเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งมากจนไม่อิน หรือยังทำอารมณ์ไม่ได้ เราก็จะพาเขาย้อนกลับไปหาความทรงจำส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง ถ้าจำเป็นจริงๆ อาจใช้น้ำตาเทียมช่วย แต่เราจะหลีกเลี่ยงวิธีนี้หากไม่จำเป็น

เพราะสิ่งสำคัญคือการประเมินจากสิ่งที่นักแสดงแสดงออกมา แล้วถามตัวเองว่า 'นี่คือการร้องไห้จริงหรือไม่' ผู้กำกับเชื่อหรือไม่ และสุดท้ายคือ คนดูเชื่อหรือไม่ เพราะทุกอย่างที่ออกมาบนหน้าจอ ต้องทำให้คนดูเชื่อได้ นี่แหละคือหน้าที่ของเรา"

Acting Coach ต้องเป็นครอบครัวของนักแสดงในบางช่วงเวลา

"อีกสิ่งที่ไซน์เรียนรู้จากการทำงานคือ ไม่มีนักแสดงคนไหนเหมือนกันเลย แม้ต่อให้ได้รับบทเดียวกัน พื้นเพของแต่ละคนก็นำพาวิธีตีความที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง นักแสดงร้อยคน เราก็เจอต่างกันร้อยแบบ "ตอนเราทำแคสติ้ง เราจะเห็นเลยว่าบทเดียวกัน แต่คนที่มาเล่นกลับทำให้มันมีชีวิตคนละแบบ บางทีแค่เปลี่ยนสายตา เปลี่ยนวิธีพูด ก็รู้สึกว่าเราเชื่อเขาไปอีกแบบ ความหลากหลายของมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่เราต้องเปิดใจรับ และทำความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้นักแสดงเล่นได้ดีหน้ากล้องเท่านั้น"

"เราไม่สอนให้เขาทำแบบที่เราคิดว่าใช่ แต่เราช่วยให้เขาเห็นว่ามีหลายวิธีการที่ไปถึงอารมณ์ได้ หลายครั้งที่เราต้องปรับการโค้ชให้เหมาะกับนักแสดงแต่ละคน บางคนต้องใช้เหตุผล บางคนต้องให้ลอง บางคนต้องให้เวลาส่วนตัว มันเหมือนเราต้องเล่นบทแทนตัวเองด้วยนะ เป็นแม่ พี่สาว น้องสาว เพื่อน ทำยังไงที่จะปรับตัวเราเข้าหานักแสดงเพื่อให้เขาฟังเราและสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับกองถ่ายมากที่สุด"

ความสัมพันธ์ที่ดีในกองถ่ายระหว่างนักแสดงกับ Acting Coach ไม่ได้เกิดจากการทำงานร่วมกันบ่อยๆ เท่านั้น แต่มาจากความไว้วางใจที่ต้องสะสมทีละน้อยจากการฟังจริงๆ บางครั้งนักแสดงไปเจออะไรมา ช่วงนี้ยุ่ง ช่วงนี้เจอข่าวไม่ดี เราก็คอยรับฟัง และทำความเข้าใจชีวิตเขาไปด้วย

"เคยมีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง ที่กองรีบมากๆ จนเราต้องใช้ตัวช่วยเพื่อให้น้ำตานักแสดงออกมาเพื่อความสมจริง ทำให้นักแสดงรู้สึกเสียใจว่า ทำไมเราไม่ให้เวลาเขา เขาก็อยากพยายามให้มันได้ด้วยตัวเองเต็มที่ แต่ว่ากองมันรีบมากจริงๆ ทำให้เราต้องเปิดใจคุยกับเขาว่า เราเข้าใจและเคารพในความตั้งใจ แต่อยากให้เชื่อใจผู้กำกับ ว่าเขาได้ที่ต้องการแล้ว เขาเอาไปตัดต่อได้ ซึ่งมันเพอร์เฟคแล้ว เราต้องมูฟออน เพราะสุดท้ายมันเป็นหน้าเรา แต่เป็นหนังของผู้กำกับ เราทำดีที่สุดแล้วนะ"

"เราต้องคอยผ่อนคลายเขาให้เขาสบายใจ ถึงแม้ว่านักแสดงรู้สึกไม่ดี แต่เขาจะเข้าใจถ้าเรารับฟังเขาแบบไม่ตัดสิน ทำให้ผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีน้อยใจ อึดอัดใจ แต่ทุกคนอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ"


ความสัมพันธ์ระหว่าง "นักแสดง" และ "ตัวละคร"

บางครั้งนักแสดงต้องปรับตัวเองให้เดินเข้าไปในโลกของตัวละคร แต่บางครั้งก็เป็นตัวนักแสดงเองที่แทรกเข้าไปอยู่ในตัวละคร ทั้งสองสิ่งนี้คาบเกี่ยวกันอยู่เสมอ นักแสดงจึงต้องเชื่อในสิ่งที่ตัวละครทำ แอคติ้งโค้ชต้องช่วยให้เขาเข้าใจว่า "ทำไมตัวละครเขาถึงตัดสินใจเช่นนั้น" เส้นแบ่งระหว่างทั้งสองโลกบางครั้งก็คาบเกี่ยวกันอยู่ นักแสดงกลับบ้าน เขาอาจยังเผลอพกนิสัยของตัวละครติดตัวไป หรือบางทีตัวละครก็ได้รับอิทธิพลจากบุคลิกของนักแสดงเอง

ครูร่มเคยบอกเราว่า "นักแสดงก็เหมือนผ้าผืนหนึ่ง เวลาเราเอาผ้าไปเช็ดสีอะไร มันก็จะซึมซับสีนั้น แม้เรื่องราวจะจบลงแล้ว สีเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ ต้องซัก ต้องปั่น ต้องใช้เวลาสักพักกว่าสีจะจางหาย"

เมื่อ "ผ้า" คือ "นักแสดง" และ "สี" คือ "ตัวละคร" เนื้อผ้าที่ดีเปรียบเสมือนนักแสดงที่ดี ซึมซับสีได้อย่างแนบเนียน และเมื่อถึงเวลา ก็สามารถสลัดมันออกได้อย่างสง่างาม ในโลกการแสดงการผสมกันของทั้งสองสิ่งอยู่ภายใต้พื้นฐานความหลากหลายของการเป็นมนุษย์ จึงทำให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน


เบื้องหลังความสำเร็จของซีรีส์ "สงครามส่งด่วน"

"ถึงแม้ว่าเราดูแลนักแสดงหลักทุกคนในเรื่องนี้ แต่เราต้องให้เครดิตผู้กำกับอย่าง พี่ไก่ ไก่-ณฐพล บุญประกอบ ซึ่งเขารู้อยู่แล้วว่าเขาจะเอาคนเหล่านี้มาใช้งานอย่างไร สำหรับตัวละครทั้งหมดในเรื่อง ก็จะปล่อยให้เขาเล่นไปตามธรรมชาติ เราแค่เข้าไปโค้ชในบางจุด แค่นั่งดูเขาเล่นกันเราก็สนุกแล้ว ซึ่งแต่ละคนตลกมาก ไม่แปลกที่งานออกมามันสนุก และผู้คนต่างชื่นชอบ"

ส่วนพระเอกของเรื่อง ไอซ์ ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ "เราบอกได้เลยว่าขอยกให้เป็นเบอร์หนึ่งได้อย่างเต็มปาก เพราะไอซ์เป็นนักแสดงที่เข้าใจในตัวละครมากๆ ในเรื่องนี้ไอซ์ลดน้ำหนัก ปรับบุคลิก เปลี่ยนวิธีการพูด เราเห็นถึงเบื้องหลังที่เขาทำงานกับตัวละครอย่างหนัก เพราะในมิติของตัวละครเรื่องนี้มันมีความจน ความพ่ายแพ้ ความผิดหวัง ไอซ์จึงต้องกลับไปหาคนต้นเรื่องเพื่อเรียนรู้เรื่องราว ที่มากกว่านั้น มันต้องสื่อสารออกมาทั้งท่าทาง แววตา และอิริยาบถ เราเห็นได้เลยว่าไอซ์สามารถพาคนดูไปถึงตัวละครนี้ได้ เราแค่มีหน้าที่บางส่วนที่คอยเติมบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ทำให้พลังทั้งหมดมันส่งมาถึงทุกคนจนซีรีส์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ"


รับมือกับแรงกดดันและดูแลใจของตัวเอง

แม้บทบาทของแอคติ้งโค้ชจะดูคล้ายผู้เฝ้าสังเกตอยู่ในกองถ่ายคอยรับคำสั่งผู้กำกับ แต่ความจริงแล้ว ไซน์ต้องรับแรงกดดันจากหลายทิศทางพร้อมกัน ทั้งจากทีมกำกับ ฝ่ายโปรดักชั่น และตัวนักแสดงเอง

"บางครั้งการต้องเป็นตัวกลางระหว่างคนที่ต้องการให้ได้ มันไม่ใช่งานที่แค่ใช้ความเข้าใจ แต่มันต้องใช้พลังใจมหาศาลด้วย นอกจากนี้ยังต้องเผชิญกับความคาดหวังที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่องานแต่ละชิ้นประสบความสำเร็จมากขึ้น ในทุกครั้งที่มีคนบอกว่า Acting Coach ช่วยให้นักแสดงเล่นดี ก็ดีใจนะ แต่ข้างในเราก็ถามตัวเองเสมอว่า แล้วงานหน้าล่ะ ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะออกมาดีเหมือนเดิม"

"เราเองก็ต้องดูแลตัวเองเรื่องความเครียด ในช่วงแรกเราก็เครียดเหมือนกัน หลายครั้งที่เราโทรไปปรับทุกข์กับครูร่มในเรื่องความเครียด ที่เราหลุดจากมันไม่ได้สักที จากการออกกองที่โดนอะไรตั้งมากมาย เราก็ต้องปล่อยวางกับมัน เพราะสุดท้ายเราคือคนนำพานักแสดงไป ถ้าเราปล่อยวางไม่ได้ นักแสดงที่เราดูแลเขาก็จะไม่เชื่อเรา ดังนั้นกลับบ้านหาของอร่อยกิน ช็อปปิ้ง เล่นกับหมา และบอกกับตัวเองว่าไม่สามารถทำให้ใครชอบงานเราได้ทุกคน"

อาชีพที่สร้างงานศิลปะผ่านความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่ทฤษฎี

"บทบาทของแอคติ้งโค้ชจึงไม่ใช่การควบคุม แต่มันคือการรับฟังมนุษย์ให้เข้าใจ และย้ำเตือนตัวเองว่าเราไม่ได้ทำงานกับตัวละครเพียงอย่างเดียว แต่เรากำลังทำงานกับมนุษย์ที่มีหัวใจ ความหวัง ความกลัว และศักยภาพซ่อนอยู่"

"เพราะสุดท้ายแล้ว งานเราเป็นส่วนหนึ่งของผู้กำกับ ถึงแม้จะมีคนมาบอกว่านักแสดงที่คุณดูนั้นเล่นดีมาเลย แต่ยังไงเราคือผู้ช่วยของผู้กำกับคนหนึ่งไม่ใช่เพียงแค่การติวเข้มให้นักแสดงร้องไห้เป็น หรือพูดบทได้ถูกต้อง แต่คือการสร้าง "เซฟโซน" ให้กับคนที่กำลังแสดง สุดท้ายงานที่ดียังไงก็ต้องให้เครดิตผู้กำกับที่เก่ง การได้มีโอกาสทำงานร่วมกับผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี จะทำให้เราได้ส่งเสริมงานเขา จนเกิดเป็นงานที่ยอดเยี่ยมได้



Text:

Chanathip K

Chanathip K

PHOTO:

Mashlab.co

Mashlab.co

Related Posts